- Home
- Community
- กระแสชุมชน
- ทรัพยากร-สิ่งแวดล้อม
- ถก18ภัยพิบัติคนไทย น้ำท่วมอันดับ1 รอบความเสี่ยงร่นจาก100เป็น4ปี
ถก18ภัยพิบัติคนไทย น้ำท่วมอันดับ1 รอบความเสี่ยงร่นจาก100เป็น4ปี
เวทีถก"18ภัยพิบัติ ที่คนไทยต้องเจอ” น้ำท่วมอันดับ1 ชี้รอบความเสี่ยงร่นจาก100เป็น4ปี จวกข้อมูลรัฐสับสนเน้นแก้กว่าป้องกัน แนะเกษตรกรทำใจรับน้ำแก้มลิง ชวนปชช.ตรวจสอบงบน้ำ3.5แสนล.
วันที่ 10 ต.ค. 55 ที่เคทีซีป๊อป ตึกสมัชชาวาณิช2 สุขุมวิท33 รายการเรื่องจริงผ่านจอร่วมกับสำนักข่าวไทยพับลิก้า จัดเสวนาในหัวข้อ “2012! 18 ภัยพิบัติความเสี่ยง...ที่คนไทยต้องเจอ” โดยนางสาววิไลพร ทวีลาภพันทอง จากบริษัทไพร้ซวอเตอร์เฮาส์คูเปอร์ส จำกัด เปิดเผยว่า จากสถิติการเกิดภัยพิบัติของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย(ปภ.)ในรอบ 10 ปี พบว่า18 ภัยพิบัติเสี่ยงที่คนไทยต้องเจอ แบ่งเป็น 2 ประเภทคือ ภัยจากธรรมชาติที่ไม่อาจควบคุมได้ และภัยจากมนุษย์ โดยแจกแจงได้ดังนี้ 1.อุทกภัย(น้ำท่วม) ซึ่งเป็นภัยเสี่ยงอันดับ1ที่ระยะหลังมีความรุนแรงมากขึ้นและก่อให้เกิดมูลค่าความเสียหายทวีคูณ 2.ภัยจากดินโคลนถล่ม 3.วาตภัย 4.ภัยจากคลื่นสีนามิ 5.ภัยจากแผ่นดินไหวและอาคารถล่ม 6.ภัยแล้ง 7.ภัยหนาว 8.อัคคีภัย 9.ภัยจากไฟป่า
10.ภัยจากโรคระบาดในมนุษย์ 11.ภัยจากโรค แมลง สัตว์ ศัตรูพืชระบาด 12.ภัยจากโรคระบาดสัตว์และพืช 13.ภัยที่เกิดจากการรั่วไหลของสารเคมีและวัตถุอันตราย 14.ภัยจากเทคโนโลยีสารสนเทศ ซึ่งเป็นภัยรูปแบบใหม่ผ่านการสื่อสาร และการทำธุรกรรมในระบบอินเตอร์เน็ต 15.ภัยจากการคมนาคมและขนส่ง เช่น อุบัติเหตุต่างๆ 16.ภัยจากภาวะฉุกเฉินที่เป็นภัยร้ายแรงต่อประเทศ เช่น น้ำมันรั่วในทะเล 17.ภัยจากการแพร่กระจายของกัมมันตภาพรังสี เช่นที่เกิดขึ้นในประเทศญี่ปุ่น และ18.ภัยจากการชุมนุมประท้วงและการก่อจลาจล เช่น เหตุการณ์ใน3จังหวัดชายแดนภาคใต้
นายชวลิต จันทรรัตน์ กรรมการผู้จัดการบริษัท ทีม คอนซัลติ้ง เอนจิเนียริ่ง แอน แมเนจเมนท์ จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารจัดการน้ำกล่าวว่า ภายใน 90 ปี อุณหภูมิของโลกจะสูงขึ้น 2-4 องศา โดยกรุงเทพฯอาจมีอุณหภูมิสูงถึง 46 องศาเซลเซียส และมีระดับน้ำเพิ่มขึ้นอีก 10-30 เซนติเมตร ซึ่งมีการวิเคราะห์ที่น่าเป็นห่วงว่าภัยธรรมชาติที่รุนแรงจะมีรอบความถี่เร็วยิ่งขึ้น เช่น น้ำท่วมในปี 54 เป็นภัยธรรมชาติที่มีความรุนแรงในรอบ 100 ปี แต่ต่อไปอาจเกิดถี่ขึ้นทุกๆ 4-6 ปีแทน ทั้งเนื่องมาจากภาวะโลกร้อนที่ทำให้ปริมาณน้ำฝนเพิ่มมากขึ้นอีกร้อยละ 7 นอกจากนี้ยังมีสาเหตุมาจากการสร้างอาคารบ้านเรือนและนิคมอุตสาหกรรมขวางทางน้ำไหลผ่านในพื้นที่ลุ่ม เช่น บริเวณลาดกระบัง ซึ่งทำให้เกิดปัญหาในการระบายน้ำด้วย อย่างไรก็ดีเมื่อเกิดภัยพิบัติภาครัฐควรมีระบบการแจ้งเตือนที่เข้าถึงประชาชนในพื้นที่ เช่น อาจมีการใช้ระบบเอสเอ็มเอสเตือนภัยประชาชนที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงโดยตรง เป็นต้น
ทั้งนี้ประชาชนควรร่วมกันติดตามและตรวจสอบโครงการการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืน และระบบแก้ไขปัญหาอุทกภัยของประเทศ งบประมาณ 3.5 แสนล้านของรัฐบาล ให้เป็นไปตามแผนที่ประกาศไว้ด้วย เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและเป็นไปเพื่อแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนอย่างแท้จริง
ด้านผศ.ดร.ทวิดา กมลเวชช รองคณบดีฝ่ายวิชาการ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า ในการรับมือกับภัยพิบัติ หากประชาชนได้รับข้อมูลที่เพียงพอก็จะสามารถเตรียมการรับมืออย่างมีประสิทธิภาพได้ โดยภาครัฐต้องส่งเสริมการให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์แก่ประชาชน ที่สำคัญคือต้องสื่อสารด้วยภาษาที่เข้าใจง่ายสั้นและกระชับเพื่อป้องกันความสับสน ทั้งนี้ในการวางมาตรการรับมือกับภัยพิบัติ สังคมไทยควรตระหนักถึงปัจจัยทางวัฒนธรรมและความเชื่อของคนไทยด้วย เช่น เมื่อเกิดภาวะน้ำท่วมและประชาชนไม่ยอมอพยพไปยังศูนย์อพยพ รัฐบาลก็ควรปรับเปลี่ยนมาตรการให้ความช่วยเหลือให้เข้ากับทัศนคติของคน ขณะเดียวกันตัวประชาชนเองก็ต้องวางแผนการช่วยเหลือตนเองด้วย โดยควรเตรียมแผนรับมือไว้หลายๆแผนในกรณีที่ได้รับข้อมูลสองด้านซึ่งไม่ตรงกัน
ขณะที่นายมนตรี ชนะชัยวิบูลวัฒน์ ผู้อำนวยการสำนักนโยบายป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ปภ. กล่าวว่า จากปัญหาภัยพิบัติที่ผ่านจะเห็นได้ว่าทรัพยากรและงบประมาณส่วนใหญ่ใช้ไปเพื่อการแก้ไขเยียวยาภายหลังเกิดเหตุการณ์เท่านั้นซึ่งทำให้รัฐสูญเสียงบประมาณไปมาก จึงควรปรับเปลี่ยนแนวทางใหม่ด้วยการใช้งบประมาณเพื่อเตรียมการเพื่อป้องกันภัยพิบัติเพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายของรัฐบาลและนำเงินไปพัฒนาประเทศส่วนอื่นมากกว่า โดยขณะนี้ปภ.ได้เตรียมจัดตั้งศูนย์เตือนภัยพิบัติแบบรวมศูนย์ เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลภัยพิบัติได้โดยสะดวกและสามารถเตรียมการรับมือได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นายชวลิตให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมถึงการรับมือกับภาวะน้ำท่วมของเกษตรกรว่า เกษตรกรซึ่งอยู่ในพื้นที่เกษตรกรรมลุ่มต่ำซึ่งอาจเป็นพื้นที่แก้มลิง 2 ล้านไร่ ในโครงการบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้าน ภายในระยะเวลา 5 ปีของรัฐบาลนั้นคงต้องยอมรับและเข้าใจถึงเหตุจำเป็นต่อการมีพื้นที่พักเก็บน้ำในยามที่เหมาะสม ซึ่งรัฐบาลจะต้องมีมาตรการเยียวยาให้ โดยขณะนี้หลายจังหวัดอยู่ในระหว่างการกำหนดอย่างชัดเจนว่าพื้นที่ใดจำเป็นต้องเป็นพื้นที่แก้มลิง ซึ่งเกษตรกรควรติดตามข้อมูลข่าวสารและฟังคำแนะนำจากทางราชการอย่างต่อเนื่องเพื่อวางแผนการรับมือน้ำท่วมและปลูกพืชให้เหมาะสมตามระยะเวลาและการดำเนินนโยบายของรัฐต่อไป
ทั้งนี้พื้นที่เสี่ยงภัยน้ำท่วมในปัจจุบันนี้แบ่งเป็นระดับความเสี่ยงได้ 3 พื้นที่ คือ อันดับ 1 พื้นที่ลุ่มต่ำ(แก้มลิง) อันดับ 2 คือพื้นที่ที่นอกคันกั้นน้ำและอยู่บริเวณแม่น้ำสายหลักที่ใช้ในการระบายน้ำ และอันดับ3 พื้นที่เมืองใหญ่ซึ่งแม้ว่าจะมีระบบการป้องกันที่เข้มงวดจากรัฐบาล แต่ก็มักประสบกับปัญหาการระบายน้ำ ซึ่งหากฝนตกมา 60 มิลลิเมตร การระบายน้ำในเมืองใหญ่ต้องใช้เวลาถึง 3 ชั่วโมง ซึ่งเป็นเรื่องที่รัฐต้องปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้นต่อไป ทั้งนี้ประชาชนในเมืองสามารถมีส่วนช่วยได้ด้วยการไม่ทิ้งขยะลงท่อระบายน้ำ และใช้บ่อดักไขมันซึ่งราคาไม่แพงมากดักไขมันก่อนปล่อยน้ำทิ้งลงท่อ
ที่มาภาพ ::: http://bit.ly/Tg2V0I