'ปปป-ป.ป.ท.' บุกจับคาซุ้มขายน้ำวัดสิงห์ อดีตนักวิชาการที่ดิน จ.พิจิตร ทุจริตค่าธรรมเนียมทำธุรกรรม 15 ครั้ง ได้เงินไปใช้ส่วนตัวนับแสนบาท หนีคดีกว่า 10 ปี จนเกือบหมดอายุความ ส่งตัวศาลคดีทุจริตทันที เจ้าตัวเผยใช้ช่องโหว่แจ้งผู้มาติดต่อ เดินเอกสารให้เรียบร้อยจะส่งใบเสร็จตามหลังให้ บางรายไม่ค่อยสนใจคิดว่าเสร็จสิ้นกระบวนการแล้ว โวยคนอื่นทำด้วยแต่ไม่มีใครถูกจับ
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อวันที่ 5 ส.ค.2567 พล.ต.ต.ประสงค์ เฉลิมพันธ์ ผู้บังคับการกองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (ผบก.ปปป.) สั่งการให้พ.ต.อ. ศานุวงษ์ คงคาอินทร์ ผกก.4 บก.ปปป.ร่วมกับเจ้าหน้าที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) ภาค 6 นำหมายจับศาลอาญาทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 6 เข้าจับกุมนางสาวหนึ่งฤทัย คู่แล อายุ 45 ปี อดีตนักวิชาการที่ดิน ระดับปฏิบัติการ ข้อหาเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติเพื่อแสวงหาประโยชน์ได้ที่ซุ้มขายเครื่องดื่ม ในตำบลวัดสิงห์ อำเภอวัดสิงห์ จังหวัดชัยนาท ก่อนนำตัวส่งศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 6 เพื่อดำเนินคดีตามขั้นตอนทางกฎหมาย
หลังทราบว่า เมื่อปี 2552-2553 ผู้ต้องหาขณะนั้นเป็นเจ้าหน้าที่สำนักงานที่ดิน จ.พิจิตร สาขาโพทะเล มีหน้าที่จดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับที่ดินทุกประเภท ต้องประเมินค่าใช้จ่ายและออกใบสั่งให้กับประชาชนที่มาทำธุรกรรม ก่อนนำไปชำระเงินที่เจ้าหน้าที่การเงิน แต่ผู้ต้องหาไม่ยอมออกใบสั่งและเก็บเงินค่าธุรกรรมนำไปใช้ส่วนตัว ภายหลังมีการร้องเรียนให้ตรวจสอบจนพบว่าผู้ต้องหากระทำทุจริตไปถึง 15 ครั้ง เป็นเงินประมาณ 76,000 บาท ทำให้ถูกไล่ออกและหลบหนีมาจนคดีใกล้จะหมดอายุความในปี 2568 นี้
จากการสอบสวน ผู้ต้องหาให้การรับสารภาพ ว่า ขณะนั้นเป็นเจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติการ สำนักงานที่ดินจังหวัดพิจิตร สาขาอำเภอโพทะเล มีเจ้าหน้าที่อยู่ไม่เกิน 10 นาย มีหน้าที่ประเมินค่าใช้จ่ายทำธุรกรรม และออกใบสั่งให้ไปชำระเงิน พร้อมรับชำระเงินนั้นไว้เอง ไม่เคยนำส่งเงินเข้าการเงินแม้แต่บาทเดียว
โดยอ้างกับผู้มาทำธุรกรรมว่าเดินเอกสารให้เรียบร้อยแล้ว ส่วนใบเสร็จจะส่งตามไปภายหลัง ผู้มาทำธุรกรรมบางรายไม่ค่อยสนใจ เชื่อว่าเสร็จสิ้นตามกระบวนการแล้ว กลายเป็นเปิดช่องให้ทำทุจริตหลายครั้งจนได้เงินไปใช้ส่วนตัวนับแสนบาท
น.ส.หนึ่งฤทัย ให้การเพิ่มเติมด้วยว่า เรื่องนี้ไม่ได้ทำเพียงคนเดียว คนอื่น ๆ ก็ทำด้วยเช่นเดียวกัน แต่ไม่มีใครจับผิดได้หรืออาจเป็นเพื่อนร่วมงานที่ไม่ค่อยพอใจ จนทำให้ถูกจับ
อย่างไรก็ดี คดีนี้ศาลยังไม่ได้มีคำพิพากษาชี้ขาด น.ส.หนึ่งฤทัย ยังมีสิทธิ์ต่อสู้คดีเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ในชั้นศาลได้อีก