
'2 พ.' สู้ไม่ถอย! ยื่นหนังสือปธ.ศาลฏีกา ขอยกเลิกหลักสูตร บ.ย.ส. ห้าม 'ผู้พิพากษาร่วมหลักสูตรดัง หลังภาพถ่าย 'เบน สมิธ' โผล่ถ่ายรูปทริป วปอ. ตอกย้ำไม่เกิดปย.เสริมระบบอุปถัมภ์ ยกความเห็นอดีตตุลาการศาลรธน.เยอรมันย้ำต้องไม่มีหลักสูตรสร้างเครือข่ายบุคคลภายนอก
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานความคืบหน้ากรณี นายบุญเขตร์ พุ่มทิพย์ อธิบดีผู้พิพากษาศาลภาษีอากรกลางช่วยทำงานชั่วคราวในตำแหน่งผู้พิพากษาศาลฎีกา กรรมการบริหารศาลยุติธรรม และ นายอนุรักษ์ สง่าอารีย์กูล ผู้พิพากษาศาลฎีกาและกรรมการตุลาการ เพื่อขอให้ยกเลิกหลักสูตรผู้บริหารกระบวนการยุติธรรมระดับสูง (บ.ย.ส.) และกำหนดไม่ให้ผู้พิพากษาเข้าร่วมอบรมหลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) หลักสูตรการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิบไตยสำหรับนักบริหาระดับดับสูง (ป.ป.ร.) หลักสูตรผู้บริหารระดับสูงสถาบันวิทยาการตลาดทุน (วตท.) หรือหลักสูตรอื่นในลักษณะเดียวกัน
หลังจากทำเรื่องเสนอมาหลายครั้ง พร้อมผลสำรวจความเห็นของผู้พิพากษาเกี่ยวกับหลักสูตรนี้ พบว่า ผู้พิพากษาส่วนใหญ่ เห็นว่าควรยกเลิกหลักสูตรนี้ พร้อมขอให้ประธานศาลฏีกา ยกเลิกหลักสูตรฯ อบรมนี้ และนำงบประมาณที่ใช้สำหรับหลักสูตรไปเพิ่มแก่หลักสูตร อื่นๆ ที่มีขึ้นเพื่ออบรมข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม

ล่าสุด แหล่งข่าวจากสำนักงานศาลยุติธรรม เปิดเผยสำนักข่าวอิศราว่า เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2568 นายบุญเขตร์ พุ่มทิพย์ และนายอนุรักษ์ สง่าอารีย์กูล 2 ผู้พิพากษาระดับสูง ได้ทำหนังสือถึง ประธานศาลฏีกา ในฐานะประธานกรรมการบริหารศาลยุติธรรม เพื่อขอให้ยยกเลิกหลักสูตรอบรมฯ ข้างต้นอีกครั้ง
โดยในการยื่นหนังสือครั้งใหม่นี้ นอกจากย้ำข้อมูลผลสำรวจความเห็นของผู้พิพากษาเกี่ยวกับหลักสูตรนี้ ที่เสียงส่วนใหญ่ เห็นควรยกเลิกแล้ว ยังมีการระบุถึง ภาพข่าวบุคคลสำคัญระดับสูงของทั้งภาครัฐและเอกชนกับบุคคลที่ถูกสงสัยว่ากระทำความผิดอาญาร้ายแรงโดยอาจมีความสัมพันธ์ที่เชื่อมโยงไปถึงหลักสูตรที่มีลักษณะเดียวกันนี้
เนื้อหาในหนังสือระบุตอนหนึ่งว่า "ท่านประธานศาลฎีกาคงทราบจากสื่อมวลขนมาอย่างต่อเนื่องและประจักษ์ชัดนับแต่วันที่ข้าฯ มีบันทึกข้อความกราบเรียนท่านประธานศาลฎีกาฉบับแรกจนถึงบัดนี้แล้วว่า นอกจากความเห็นของผู้พิพากษาจากผลสำรวจดังกล่าวแล้วยังมีผู้สนับสนุนจำนวนมากจากทุกสาขาอาชีพให้ยกเลิกหลักสูตรผู้บริหารกระบวนการยุติธรรมระดับสูง (บ.ย.ส.) รวมถึงหลักสูตรอื่นที่มีลักษณะเดียวกันนี้"
"โดยเฉพาะเมื่อสาธารณชนเห็นภาพข่าวของบุคคลสำคัญระดับสูงของทั้งภาครัฐและเอกชนกับบุคคลที่ถูกสงสัยว่ากระทำความผิดอาญาร้ายแรงโดยอาจมีความสัมพันธ์ที่เชื่อมโยงไปถึงหลักสูตรที่มีลักษณะเดียวกันนี้ ก็ยิ่งทำให้สาธาธารณชนเห็นตรงกันว่าหลักสูตรผู้บริหารกระบวนการยุติธรรรมระดับสูง (บ.ย.ส. )และหลักสูตรอื่นที่มีลักษณะเดียวกันนอกจากไม่ก่อเกิดประโยชน์โดๆ แก่ศาลยุติธรรมแล้วยังเป็นการใช้งบประมาณที่ไม่คุ้มค่า"
"ที่สำคัญหลักสูตรเหล่านี้ล้วนสนับสนุนระบบอุปถัมภ์และการผูกขาดซึ่งทำให้เกิดการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม และทำให้สาธารณชนหมดความเชื่อถือในความสุจริตของภาครัฐ เป็นผลให้ทุกภาคส่วนของสังคมอ่อนแอทำให้เกิดปัญหาต่างๆ รวมถึงการทุจริตตั้งแต่เล็กน้อยจนถึงขั้นวิกฤติ ตั้งแต่ระดับประเทศเรื่อยลงมาเช่นที่เห็นได้ในปัจจุบัน"
เนื้อหาในหนังสือยังระบุด้วยว่า นอกจากนั้นเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2568 สถาบันพัฒนาข้าราชการฝ่ายตุลาการจัดให้มีการเสวนาในหัวข้อ "บทบาทของตุลาการและนักกฎหมายในการสร้างนิติรัฐ : มุมมองของเยอรมัน" ซึ่ง Prof.Dr.Grabriele Britz ศาสตรารย์ด้านกฎหมายมหาชนและกฎหมายสหภาพยุโรปที่มหาวิทยาลัย Giessen อดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเยอรมันให้ความเห็นว่า ปัจจัยหนึ่งที่สำคัญในการสร้างหลักนิติธรรม (The Rule of Law) และนิติรัฐ คือศาลต้องไม่มีหลักสูตรต่างๆ ที่สร้างเครือข่ายกับบุคคลภายนอก ซึ่งสอดคล้องกับบันทึกของข้าฯ ดังกล่าว
"ทั้งนี้ โดยความจริงไม่จำเป็นต้องฟังผลสำรวจหรือความเห็นทางวิชาการใดๆ ก็ได้เพียงแต่ใช้สามัญสำนึกของสามัญชนก็ทราบได้แล้วว่า หากสังคมโดยเฉพาะผู้ที่เป็นแบบอย่างขององค์กรที่เกี่ยวข้องกับหลักสูตรนี้ยังเห็นว่าระบบอุปถัมภ์เป็นเรื่องปกติ อีกไม่นาน วันหนึ่งระบบอุปถัมภ์และการผูกขาดจะกลายเป็นบรรทัดฐานของสังคม เมื่อถึงวันนั้นความสุจริต ความรู้ความสามารถ ระบบคุณธรรม และหลักนิติธรรรมจะเป็นคุณสมบัติที่ทุกคนไม่จำเป็นต้องมีอีกต่อไปในประเทศนี้"
"ในที่สุดทุกองค์กรจะมีแต่บุคคลที่ไม่มีคุณภาพและการทุจริตในทุกลำดับชั้นจะเป็นพฤติกรรมปกติของคนในสังคม เมื่อประกอบกับความสัมพัมพันธ์ของผู้บริหารระดับสูงของภาครัฐและเอกชนผ่านหลักสูตรต่างๆ ดังกล่าว ก็อาจจะเป็นโอกาสหรือเป็นช่องทางในการสร้างเครือข่ายของการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบจนถึงการทุจริตขนาดใหญ่ที่ครอบคลุมทุกภาคส่วนของประเทศ อันจะนำพาประเทศไปสู่ความหายนะในที่สุด" หนังสือฉบับนี้ระบุ



สำนักข่าวอิศรา รายงานว่า ก่อนหน้านี้ ภายหลังจากที่ คณะกรรมการธุรกรรม สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) มีคำสั่งให้ยึดและอายัดทรัพย์สินกลุ่มบุคคลที่เกี่ยวข้องกับสแกมเมอร์ข้ามชาติ ราย นางสาวแตงไทย บ้านมะหิงษ์ กับพวก เชื่อมโยงข้อมูล นายยิม เลียกและ นายเบน สมิธ จำนวน 66 รายการ (เช่น ที่ดิน ห้องชุด หลักทรัพย์ในบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ และเงินในบัญชีเงินฝากธนาคาร) รวมมูลค่าประมาณ 9,279 ล้านบาท
มีผู้นำภาพถ่าย นายเบน สมิธ กับบุคคลสำคัญในแวดวงราชการและเอกชนมาเผยแพร่ หนึ่งในนั้นเป็นภาพถ่ายนายเบน สมิธ กับพล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ อดีตผู้บัญชาการทหารบก นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี คนปัจจุบัน และบุคคลสำคัญ (ดูภาพประกอบ)

ขณะที่ พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ชี้แจงต่อสาธารณชนว่า เป็นภาพเมื่อปี 2557 ขณะเรียนหลักสูตร วปอ.และเดินทางไปดูงานที่สิงคโปร์ มีเพื่อนแนะนำให้รู้จักนายเบน สมิธ เป็นนักธุรกิจและมารับประทานอาหาร ซึ่งยังจำได้ว่านายอนุทิน ชาญวีรกูล พูดในตอนนั้นว่า อเมริกันแชร์ คือทุกคนจ่ายค่าอาหารทุกคน ไม่มีใครเลี้ยง
แต่ก็มีคำถามตามมว่า นายเบน สมิธ เข้าไปเกี่ยวข้องกับการเดินทางไปดูงานหลักสูตร วปอ.ได้อย่างไร แต่จนถึงปัจจุบันก็ไม่มีคำชี้แจงจากนายเบน สมิธ แต่อย่างใด

- ขอ ปธ.ศาลฏีกา เลิกจัดอบรม บ.ย.ส.-ห้าม 'พ.'ร่วมหลักสูตรดัง ชี้ไม่เกิดปย.เสริมระบบอุปถัมภ์
- เสนอผลสำรวจหลักสูตร บ.ย.ส.ให้ ปธ.ศาลฏีกา - ผู้พิพากษาร้อยละ 82 'เห็นควรยกเลิก'
- ฉบับเต็ม! ผลสำรวจเชิงประจักษ์ ผู้พิพากษา เห็นพ้องยกเลิกหลักสูตร บ.ย.ส. ขจัดระบบอุปถัมภ์
- ขอยกเลิกไม่เป็นผล! บ.ย.ส.ประกาศชื่อผู้อบรมปี 68 บิ๊กเนมผู้บริหารองค์กรรัฐ-เอกชน 90 คน

Isranews Agency | สำนักข่าวอิศรา