ในเฟซบุคเมื่อ 17 เมษายน ผมได้เปิดเผย ค่า R ประเทศไทยที่ได้ไต่ขึ้นอย่างเงียบๆจนทำสถิติสูงสุดในโลก (R=2.27) จุดประสงค์เพื่อกระตุ้นให้ผู้เกี่ยวข้องตาสว่าง โดยในบทสรุปในโพสต์นั้น ผมได้ให้คำแนะนำเพื่อพิจารณาดังนี้
................................
"ทางออกทางเดียว คือ รัฐบาลต้องรีบระดมให้มีการฉีดวัคซีนทั่วประเทศตามลำดับความสุ่มเสี่ยง โดยถือว่าเป็นวาระเร่งด่วนแห่งชาติ ก่อนที่จะสายไป ถ้าบริหารเองไม่ไหว ก็ต้องเปิดเสรีให้โรงพยาบาลและคลีนิคเอกชนบริหารให้"
วันนี้ผมดีใจที่ท่านนายกรัฐมนตรีได้ออกมาประกาศด้วยตนเองว่า จะให้ถือการระดมฉีดวัคซีน จนได้ภูมิคุ้มกันหมู่เป็น “วาระแห่งชาติ” ดังนั้น ผมถือโอกาสให้ข้อสังเกตเพิ่มเติม ดังนี้
1. การจัดลำดับให้คนสูงอายุได้ฉีดวัคซีนก่อนกลุ่มอื่น (ตามคำแนะนำของ WHO) อาจเหมาะกับซีกโลกตะวันตก ที่คนชรามักอยู่รวมกันในบ้านคนชรา เป็นการป้องกันการติดเชื้อ"ยกรัง" แต่อาจไม่เหมาะสมกับชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทยที่คนชราอยู่กับบุตรหลาน และมักซ่อนตัวอยู่แต่ในบ้าน โอกาสเดียวที่ติดเชื้อ จึงมาจากคนนอก เช่น ผู้ให้บริการส่งของ หรืออาหาร
ส่วนการจองคิวที่ไม่ประสบความสำเร็จ ส่วนหนึ่งเพราะผู้สูงวัยมักมีโรคประจำตัว บุตรหลานจึงมักไม่อยากให้ไปเสี่ยง
2. เมื่อพิจารณาว่า ผู้สุ่มเสี่ยงที่จะเป็นตัวแพร่เชื้อในลักษณะ Superspreaders มักเป็นผู้มีการสัญจรไปมาสูง (High Mobility) หรือเป็นผู้มีโอกาสสัมผัสกับสาธารณชนตลอดเวลา ดังนั้น การจัดลำดับกลุ่มที่ควรได้สิทธิฉีดวัคซีน ต่อจากบุคลากรทางการแพทย์ ควรเป็นดังนี้
(1) กลุ่มผู้ให้บริการสาธารณะ (ที่ต้องเปิดบริการในช่วงกึ่งล็อกดาวน์) ได้แก่ คนขับขี่จักรยานยนต์ส่งพัศดุหรืออาหารตามบ้าน คนขับรถแท็กซี่ พนักงานรถขนส่งสาธารณะ พนักงานตามศูนย์การค้า โรงแรม ห้างร้านขายอาหาร ร้านคอนวิเนียนสโตร์ บุรุษไปรษณีย์ ช่างตัดผม หมอนวด แคดดี้สนามกอล์ฟ เชื่อว่าคนกลุ่มนี้พร้อมที่จะฉีดวัคซีน เพราะเกือบเป็นความจำเป็นในการปฏิบัติหน้าที่และเพื่อป้องกันตัวเองด้วย
ข้อดี คือ ถ้าโหมฉีดกลุ่มบริการสาธาณะมากพอแล้ว เราสามารถเปิดร้านค้าต่างๆได้เลย ไม่ต้องทำ Soft Lock Down เศรษฐกิจระดับรากหญ้าจะได้ไม่ซวนเซ
(2) กลุ่มนักเรียนนักศึกษา ที่อีกไม่นานจะเปิดเรียน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เป็นวัยที่เข้าออกจากบ้านบ่อยและมีความสนิทสนมกับคนชรา
(3) กลุ่มอาชีพที่ต้องคลุกคลีกับคนหมู่มาก ได้แก่ ครู อาจารย์ พนักงานในโรงงาน
(4) ประชาชนวัยทำงานอื่นๆ
(5) กลุ่มคนชราที่เหลืออยู่ (ที่จริง สำหรับกลุ่มนี้ ให้สิทธิฉีดวัคซีนเมื่อไหร่ก็ได้ถ้าพร้อม)
3. รัฐควรถือเป็นหน้าที่ในการฉีดวัคซีนให้แก่ชาวต่างประเทศที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยด้วย เพราะเชื้อโควิด-19 ไม่เลือกปฏิบัติ โอกาสติดเชื้อได้ทุกชาติภาษา และย่อมสามารถแพร่เชื้อได้เช่นกัน
4. รัฐควรแสดงความชื่นชม ด้วยการอำนวยความสะดวกให้โรงพยาบาลเอกชน ที่พร้อมจะนำเข้าวัคซีนประเภทอื่นๆ โดยผ่าน อย.รับรอง เพื่อเป็นทางเลือกให้แก่ทุกคนที่พร้อมจะจ่ายเงินเอง
5. เนื่องจากเชื้อโควิด-19 ไม่เคยมีสองมาตรฐานหรือการเลือกปฏิบัติ การระบาดที่เชื้อแพร่ขยายถึง 10 เท่า มีคนเสียชีวิตถึง 20 เท่าภายในเดือนครึ่งในอินเดีย ย่อมจะเกิดในเมืองไทยได้ กระทรวงสาธารณสุขน่าจะรีบจัดทำ "แผนบริหารความเสี่ยง" โดยเตรียมระบบสาธารณสุข (อุปกรณ์ทางการแพทย์ รวมถึงเครื่องช่วยหายใจ) ให้พร้อมสำหรับผู้ป่วยในปริมาณ 10 เท่าของตัวเลขผู้ป่วยปัจจุบัน และทำการซักซ้อมแผนฉุกเฉินตั้งแต่บัดนี้
6. ผมเห็นด้วยอย่างยิ่งที่ท่านนายกฯขอให้ทุกฝ่ายหยุดความขัดแย้งทางการเมืองไว้ก่อน เพราะสงครามกับศัตรูที่มองไม่เห็นครั้งนี้ ต้องการความร่วมมือร่วมใจของทุกหมู่เหล่า ผมจึงตั้งความหวังไว้ว่า ทางฝ่ายปกครองจะส่งสัญญาณอย่างเป็นรูปธรรม ให้ประชาชนทั่วไปได้เห็นถึงความจริงใจ ในการดำเนินนโยบาย Ceasefire ทางการเมืองครั้งนี้
ศ. ดร. วรศักดิ์ กนกนุกุลชัย ราชบัณฑิต
ผู้อำนวยการ สถาบันนวัตกรรมบูรณาการแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย