"...เราดีใจจนน้ำตาไหล เพราะอยู่ รพ.ทรมานสุดๆ หลับๆ อยู่ก็มาปลุกวัดความดัน วัดอุณภูมิ ระดับออกซิเจน อย่างน้อยคืนละ 2 ครั้ง พอตี 4 ทุกเช้ามาละ... มาเจาะเลือด แขนพรุนจนหาเส้นเลือดว่างแทบไม่ได้ ยิ่งคนเส้นเลือดเล็กอยู่แล้ว บางครั้งเจาะแตกๆ 4 ครั้งถึงจะได้เลือด ทุกเช้าและเย็นต้องฉีดยาละลายลิ่มเลือดใต้แขน เจ็บจนเบื่อ จะเข้าห้องน้ำทีต้องให้พยาบาลช่วย ทั้งสายน้ำเกลือ ท่อออกซิเจนใส่จมูก ทั้งเครื่องวัดระดับออกซิเจนที่ติดนิ้วอยู่ก็พ่วงกับตัวเครื่องอีลุงตุงนัง (เครื่องวัดระดับออกซิเจนส่งผลไปเข้าจอที่พยาบาลนั่งเฝ้าดูอยู่ข้างนอก) ลุกจากเตียงที ระดับออกซิเจนลดฮวบๆ ต่ำ 70 จนสามารถเป็นลมในห้องน้ำได้ (ระดับออกซิเจนไม่ควรต่ำกว่า 90)..."
..................................
หมายเหตุ : ดร.ภาพร เอกอรรถพร เป็นนักวิชาการด้านบัญชีที่มีชื่อเสียง เคยเป็นอาจารย์สอนในมหาวิทยาลัยในประเทศไทย อดีตประธานคณะกรรมการมาตรฐานการบัญชี สมาคมนักบัญชีและผู้สอบบัญชีแห่งประเทเทศไทย เคยเขียนหนังสือไว้หลายเล่ม เช่น บัญชีศรีธนชัย, กลบัญชี , อ่านงบการเงินให้เป็น , บัญชีช่วยได้ ไปใช้ขีวิตอยู่ในสหรัฐอเมริกาตั้งแต่ ค.ศ.2015 จนปัจจุบัน
ลืมเล่าให้ฟังในตอนแรกว่า เมื่อรู้ว่าสามีเป็นโควิด เราก็รีบโทรไปที่ รพ. คำแนะนำที่ได้คือให้สามีแยกตัวอยู่ในบ้าน แล้วรักษาตามอาการ เป็นไข้ก็กินยาลดไข้ ไอก็กินยาแก้ไอ ไม่ต้องมา รพ. ยกเว้นแต่จะมีอาการหายใจไม่ทัน เหนื่อหอบ หรือมีอาการอื่น เช่น อาการหัวใจวาย จึงให้รีบพาเข้าห้องฉุกเฉิน
ต่อตอน 2
อย่างที่พูดปลอบใจไว้ในตอนแรกว่าไม่ต้องไปกังวลกับโควิดให้มากนัก ถ้าไม่มีโรคประจำตัว โควิดมักเล่นงานเราไม่ได้หรือเล่นได้ก็ไม่หนัก ถึงอย่างนั้นเราก็ไม่ควรไปติดโควิดมา เพราะเราไม่รู้ว่าเราจะเอาเชื้อไปแพร่ให้คนที่เขามีโรคประจำตัวรึไม่... เพราะคนที่มีโรคประจำตัวเมื่อติดโควิด อาการก็อาจหนักถึงหนักที่สุดจนถึงแก่ชีวิตได้ (ตามสถิติคนติดโควิด รอด 97% ตาย 3%)
อย่างเช่นเรา... แม้อาการสามีจะไม่รุนแรง แต่พอเขาเอามาติดเรา เราที่เป็นโรคแพ้ภูมิแบบต้องได้รับยากดภูมิทางเส้นเลือดทุก 6 เดือน ก็เริ่มต้นด้วยการเป็นนิวมอเนีย
เมื่อเข้า รพ นอนได้ 1 คืน วันรุ่งขึ้นหมอก็มาบอกว่า ผลตรวจโควิดเป็นบวก อย่างที่หมอคาดเดาไว้ โคโรนาไวรัสทำให้เป็นปอดบวม ถึงตอนนั้น เขาก็เริ่ม CT scan ปอด (หมอให้เราดูภาพสแกนในภายหลัง ตรงไหนปอดดีจะเป็นสีดำมืด ตรงไหนโควิดอัด มันจะเป็นจุดสว่างไสวเหมือนดวงดาวในค่ำคืนเดือนมืด บางที่ในปอดเรา ไวรัสอัดจนดูคล้ายกับแผนที่ดาราศาสตร์ยังไงยังงั้น)
เราถูกจับขังเดี่ยวอยู่ในห้อง อยากเจอพยาบาลต้องกดกริ่งเรียก มนุษย์ที่โผล่เข้ามา ทุกคนแต่งตัวเต็มยศเหมือนมนุษย์อวกาศ แต่ตอนนั้นเราไม่มีแรงจะสนใจ เพราะเพลียจัด อยากจะนอนอย่างเดียว สติสตังเลอะๆ เลือนๆ
พอรู้ว่าเป็นโควิด หมอสั่งให้สเตียรอยด์เข้าเส้นไว้ก่อนเพื่อให้ปอดทำงานได้ ตอนนั้น นอกจากอ่อนเพลียเอาแต่หลับแล้ว ก็ไม่มีอาการอื่น ยังหายใจปกติ ไม่ต้องใช้ออกซิเจนช่วย แต่เรื่องหลับนั้น หลับจริง หลับจัง ขนาดข้าวไม่กิน รับโทรศัพท์ไม่ไหว สามีกับลูกโทรหา 2 วัน 2 คืน เราก็ไม่รับสาย จนเขาเป็นห่วงกัน
ที่อเมริกานี้ หมอมีหน้าที่รายงานคนไข้ทุกเช้าว่าหมอได้ทำอะไรไปบ้าง ให้ยาอะไร ผลที่คาดจะเป็นอย่างไร แผนการรักษาต่อไปคืออะไร (ขึ้นอยู่กับอาการ) ตอนนี้ทีมรักษามี 2 ทีม ทีมหลักกับทีมหมอโรคแพ้ภูมิ (ที่ทำหน้าที่ให้คำปรึกษา) ในทีมหลัก ทั้งหมอทั้งนักเรียนแพทย์รวมแล้วก็ประมาณ 4-5 คน เช้าเวลามาหาคนไข้ ใส่ชุดเต็มยศยืนกันเต็มห้อง
มาอ่านประวัติการรักษาย้อนหลัง หมอรายงานว่า “She was treated with Dexamethasone and Remdesivir for COVID as well as Ceftriaxone and Azithromycin for a total of 5 days for possible superimposed community acquired pneumonia.” ให้ข้อมูลไว้เผื่อคนอ่านเป็นหมออาจสนใจ การรักษาคนไข้ที่เมกา ทุกอย่างต้องโปร่งใส แฟ้มประวัติหมอใช้ร่วมกับคนไข้ หมอบันทึกอะไร คนไข้สามารถอ่านได้ทันทีใน account ส่วนตัว
พอล่วงเข้ามาได้ไม่กี่วัน เหมือนเราจะเริ่มเหนื่อยหอบ หมอให้ออกซิเจนทางจมูกเป็น 10 ลิตร ลุกเข้าห้องน้ำไม่ได้ ธุรกิจทุกอย่างพยาบาลต้องมาช่วยปฏิบัติกันบนเตียง ตอนมารายงานผล หมอบอกว่าถ้าอาการไม่กระเตื้องขึ้นใน 2 วัน เขาจะย้ายเราไปห้องเครื่องช่วยหายใจ จากนั้นก็ถามเราว่า “ถ้าเกิดอะไรขึ้น จะอนุญาตให้ปั๊มหัวใจไหม? หรือจะปล่อยให้ไปตามธรรมชาติ” เขาบอกเขาต้องถามตอนเรายังมีสติอยู่ ถ้าเกิดอะไรขึ้นเขาจะได้ปฏิบัติตามประสงค์ของคนไข้ได้ถูก (แง....)
ช่วงนั้นป่วยหนักมากๆ ชีวิตวิกฤติสุดๆ ป่วยทำอะไรไม่ได้เหมือนกับคนนอนรอความตาย ครั้งนั้นเป็นครั้งที่สองที่ตระหนักว่า เรามาคนเดียวไปคนเดียว ลูก.. สามี.. เพื่อน.. คนรู้จัก.. ล้วนอยู่วงนอกทั้งสิ้น
แต่เดชะบุญ (หรือวิบากกรรมที่ต้องชดใช้ในชีวิตนี้ยังไม่หมด) ร่างกายกลับกระเตื้องขึ้นจนไม่ต้องใช้บริการทั้งเครื่องช่วยหายใจหรือเครื่องปั๊มหัวใจ
ตอนนอนติดเตียง นอกจากหายใจลำบาก หมดเรี่ยวแรงแล้ว ก็ยังมีเรื่องความดันต่ำ (80/40) จนหมอไม่สามารถให้ยาขับน้ำจากปอด และเนื่องจากโรคแพ้ภูมิ หมอจึงตัดสินใจให้พลาสมากับเรา ถ้าเราโอเค เราต้องเซ็นอนุญาต (เพราะมีลักษณะเช่นเดียวกับการถ่ายเลือด เราต้องเสี่ยงกับเชื้อโรคที่คนยังไม่รู้จัก) เราเซ็นอนุญาตแบบหลับๆ ตื่นๆ วันรุ่งขึ้นเขาก็เอาพลาสมาถุงใหญ่มาให้ทางเส้นเลือด ตอนให้ยา พยาบาลยอมเสี่ยงอยู่ในห้องกับเรา 15 นาทีเพื่อเฝ้าดูอาการ (ปกติคนจะรีบมารีบไป) เมื่อเห็นเราไม่แพ้พลาสมา เขาก็ออกไป
หลังจากที่ได้ยาสารพัดอยู่สิบกว่าวัน อาการของเราก็ค่อยๆ กระเตื้องขึ้น หมอเริ่มสั่งลดปริมาณออกซิเจนจนเหลือ 2 ลิตร เตรียมให้กลับไปพักฟื้นที่บ้าน (เข้าใจว่าหมอวางแผนให้ออกจาก รพ วันที่ 8 มี.ค.)
เราดีใจจนน้ำตาไหล เพราะอยู่ รพ.ทรมานสุดๆ หลับๆ อยู่ก็มาปลุกวัดความดัน วัดอุณภูมิ ระดับออกซิเจน อย่างน้อยคืนละ 2 ครั้ง พอตี 4 ทุกเช้ามาละ... มาเจาะเลือด แขนพรุนจนหาเส้นเลือดว่างแทบไม่ได้ ยิ่งคนเส้นเลือดเล็กอยู่แล้ว บางครั้งเจาะแตกๆ 4 ครั้งถึงจะได้เลือด ทุกเช้าและเย็นต้องฉีดยาละลายลิ่มเลือดใต้แขน เจ็บจนเบื่อ จะเข้าห้องน้ำทีต้องให้พยาบาลช่วย ทั้งสายน้ำเกลือ ท่อออกซิเจนใส่จมูก ทั้งเครื่องวัดระดับออกซิเจนที่ติดนิ้วอยู่ก็พ่วงกับตัวเครื่องอีลุงตุงนัง (เครื่องวัดระดับออกซิเจนส่งผลไปเข้าจอที่พยาบาลนั่งเฝ้าดูอยู่ข้างนอก) ลุกจากเตียงที ระดับออกซิเจนลดฮวบๆ ต่ำ 70 จนสามารถเป็นลมในห้องน้ำได้ (ระดับออกซิเจนไม่ควรต่ำกว่า 90)
พอรู้ว่าจะได้กลับบ้าน เราก็รีบโทรบอกสามีให้เตรียมตัวมารับ ทุกอย่างก็น่าจะจบลงด้วยดี แต่การณ์กลับไม่เป็นดังคาด ชีวิตยังมีวิบากกรรมที่ต้องเผชิญ
รออ่านตอนที่ 3 ต่อละกัน
ที่มา : ดร.ภาพร เอกอรรถพร
บทความที่เกี่ยวข้อง : ดร.ภาพร เอกอรรถพร : ประสบการณ์จากโควิดขวิด(1)