"...ตอนนี้ประเทศไทยกำลังตื่นเต้นกับโควิด เลยจะมาบอกให้ฟังว่าอย่าไปกังวลให้มาก เพราะโรคนี้ไม่ได้มีผลกับทุกคนในลักษณะเดียวกัน มันจะส่งผลรุนแรงแต่เฉพาะกับคนที่มีโรคประจำตัว (เบาหวาน ความดัน ไขมันในเลือดสูง หัวใจ แพ้ภูมิตัวเอง ฯลฯ) คนที่สุขภาพแข็งแรง มันมักทำอะไรไม่ได้ อย่างเช่นสามีเรา... เขาติดโควิดมาจากไหนไม่รู้ อาการที่เป็นก็แค่คล้ายไข้หวัดใหญ่อย่างอ่อน พอ 8-9 วันก็หมดอาการ..."
...................................................
หมายเหตุ : ดร.ภาพร เอกอรรถพร เป็นนักวิชาการด้านบัญชีที่มีชื่อเสียง เคยเป็นอาจารย์สอนในมหาวิทยาลัยในประเทศไทย อดีตประธานคณะกรรมการมาตรฐานการบัญชี สมาคมนักบัญชีและผู้สอบบัญชีแห่งประเทเทศไทย เคยเขียนหนังสือไว้หลายเล่ม เช่น บัญชีศรีธนชัย, กลบัญชี , อ่านงบการเงินให้เป็น , บัญชีช่วยได้ ไปใช้ขีวิตอยู่ในสหรัฐอเมริกาตั้งแต่ ค.ศ.2015 จนปัจจุบัน
----------------------------------------
วางแผนจะสอนหมอดูกับพาเที่ยวยูท่าห์ อริโซนา ก็มีอันเป็นไป เพราะสามีกับตัวเองดันป่วยเป็นโควิดเสียก่อน
ตอนนี้ประเทศไทยกำลังตื่นเต้นกับโควิด เลยจะมาบอกให้ฟังว่าอย่าไปกังวลให้มาก เพราะโรคนี้ไม่ได้มีผลกับทุกคนในลักษณะเดียวกัน มันจะส่งผลรุนแรงแต่เฉพาะกับคนที่มีโรคประจำตัว (เบาหวาน ความดัน ไขมันในเลือดสูง หัวใจ แพ้ภูมิตัวเอง ฯลฯ) คนที่สุขภาพแข็งแรง มันมักทำอะไรไม่ได้ อย่างเช่นสามีเรา... เขาติดโควิดมาจากไหนไม่รู้ อาการที่เป็นก็แค่คล้ายไข้หวัดใหญ่อย่างอ่อน พอ 8-9 วันก็หมดอาการ
ก่อนไปติดโควิดมา สามีเป็นคนที่ออกนอกบ้านมากที่สุด (จ่ายกับข้าว เติมน้ำมัน ไปทำฟัน ฯลฯ) ขนาดเขาระวังตัวอย่างหนักเพราะไม่อยากเอามาติดภรรยา แต่บทอะไรมันจะเกิด มันก็ต้องเกิด
ตอนเริ่มเป็น เขารู้สึกกลืนน้ำลายติดขัดและเริ่มเจ็บคอ คืนนั้นเรายังคงนอนเตียงเดียวกันอยู่แม้เขาจะหันหลังให้ตลอดเวลา พอวันที่ 2 เขาเจ็บคอเหมือนจะเป็นหวัด เขาขนที่นอนลงไปนอนในห้องรับแขกชั้นล่างห่างจากลูกและภรรยาที่นอนชั้นบน พอตกดึกเขาเริ่มมีไข้ (ไม่ถึง 40 องศา) เขาก็กินยาพาราลดไข้ ช่วงนั้น เราคอยส่งข้าวส่งน้ำโดยใส่ถาดวางไว้หน้าห้องรับแขก พอเขากินเสร็จเราก็เก็บมาล้าง เราก็ว่าเราระวังตัวอยู่ แต่คงไม่พอเพราะในที่สุดก็ติดโควิดจากเขา
วันที่ 3 ครอบครัวเราพากันไปตรวจโควิด ไปรถคันเดียวกัน ทุกคนใส่ผ้าปิดปาก สามีนั่งข้างหลัง ตรวจแล้วพบว่า เขาเป็นโควิด แต่แม่ลูกผลออกมาเป็นลบ ถึงวันนั้นเขาเจ็บคอมากขึ้น เริ่มไอ ยังมีไข้ พอวันที่ 4 ทุกอย่างก็หนักขึ้น เวลาไอเจ็บคออย่างหนัก เริ่มมีน้ำมูกใสและมีเสมหะค่อนข้างมาก
พอวันที่ 5 อาการเริ่มดีขึ้น วันที่ 6 จมูกเริ่มไม่ได้กลิ่น แต่ก็กินข้าวได้ ส่งอะไรให้ ก็กินจนหมด เห็นอย่างนั้นก็รู้สึกเบาใจ เขาไม่มีอาการหายใจติดขัด ไม่มีอาการท้องเสีย แต่อาการปวดเนื้อปวดตัวมาปรากฎเอาหลังจากที่หายโควิดแล้ว 1 อาทิตย์
แต่พอวันที่ 7 อาการไอกลับหนักขึ้น เวลาไอร้าวไปถึงศีรษะจนต้องเอามือกดไว้ เรากับลูกชายไปตรวจโควิดอีกครั้ง ผลออกมาก็เป็นลบตามเคย (คงตรวจเร็วไป ปกติเขาให้รอ 1 สัปดาห์)
พอวันที่ 8 สามีอาการกลับเริ่มดีขึ้น จมูกเริ่มกลับมาได้กลิ่น มีแรงขนาดออกนอกบ้านไปเดินในสวนสาธารณะได้
จากนั้น เขาก็เริ่มหาย แต่ก็ยังจำกัดบริเวณอยู่แต่ในห้องรับแขก เราจำกัดบริเวณอยู่ในห้องครัว เว้นห้องกินข้าวที่คั่นกลางเป็นห้องกันกระทบ อยู่ในครัวนานๆ นึกเบื่อก็เปิดทีวีเต้นอโรบิค พอวันรุ่งขึ้นรู้สึกเหมือนตัวจะแตกเป็นเสี่ยงๆ ฝืนลุกขึ้นทำข้าวต้มให้สามีกิน แล้วบ่นกับเขาว่าสงสัยออกกำลังกายหนักไป แล้วเราก็กลับขึ้นไปนอน พอเที่ยง โทรลงไปบอกเขาว่า เราไม่ไหวแล้ว ให้พ่อหาอะไรกินเอง จากนั้น เราก็หลับ... หลับ... หลับ... หลับจนสามีทนไม่ไหว ลุกขึ้นทำกับข้าวมาให้เรากินข้างบน เราก็กินบ้าง ทิ้งบ้าง อาการมีแต่หมดแรง อ่อนเพลีย ส่วนอาการอื่นไม่มี
พอนอนไปได้ 2-3 วัน เราก็รู้สึกไม่สบายตัว เลยกินยาแก้ปวดเส้นประสาท (เป็นโรคแพ้ภูมิ NMOSD ที่ภูมิต้านทานตัวเองโจมตีทำลายเส้นประสาทส่วนกลางจนเจ็บปวดไม่มีวันหาย เลยมียาแก้ปวดเส้นประสาทประจำบ้านอยู่) ตื่นเมื่อไรก็กินยา ยิ่งกินก็ยิ่งหลับ สามีที่ยังกักตัวโควิดถามอาการเมื่อไร เราก็บอกปวดเส้นประสาท เขาก็เชื่อเรา
นอนมาประมาณ 10 วัน...
จริงๆ คือจำอะไรไม่ได้เลย จำได้แต่ว่า กินข้าวได้มื้อละคำสองคำ เพลียจนอยากนอนอย่างเดียว ลูกชายมานั่งคุยอยู่ห่างๆ เราก็หลับๆ ตื่นๆ ฟัง วันนั้นเป็นวันหลังวันเกิด (24 ก.พ. 2564) เราบอกตัวเองว่า เราสามารถหลับไปโดยไม่ตื่นมาเจอใครอีก ถึงจุดนั้นเราถึงยอมให้สามีพาเข้าห้องฉุกเฉิน หลังจากที่อ้างนั่นนี่อยู่นาน (ถ้าเข้า รพ เร็วกว่านั้น อาการอาจไม่หนักมาก แต่เนื่องจากมันไม่มีอาการอื่นนอกจากอ่อนเพลีย อยากนอน เราเลยไม่อยากเข้า รพ) พอถึงห้องฉุกเฉิน หมอตรวจว่าเป็นนิวมอเนีย (อาการประจำของโควิด) และตรวจโควิด (จะรู้ผลวันรุ่งขึ้น) หมอสั่งแอดมิท ให้สามีกลับบ้านไปได้