"...สำหรับเมืองไทย เราเริ่มเห็นแนวโน้มของการทำ Smart Farm หรือการเพาะปลูกในโรงเรือนมาสักระยะหนึ่ง แต่ยังไม่แพร่หลายมาก จึงเป็นความท้าทายของเกษตรกรไทยที่ยังเป็นผู้ตามในด้านการพัฒนาเทคโนโลยี และการนำมาประยุกต์ใช้จริงในปัจจุบันด้วยมนุษย์ที่อยู่บนโลกแบบ 2 ขั้ว ขั้วหนึ่ง ตั้งหน้าตั้งตาทำลายสิ่งแวดล้อม ขณะที่อีกขั้วหนึ่งกำลังขวนขวายวิธีการการทำเกษตรกรรมรูปแบบใหม่ Vertical Farming ที่อาจจะตอบโจทย์ในอนาคตได้ แม้จะต้องแลกกับเงินทุนมหาศาล แต่จะสำเร็จเพียงใดคงยากที่จะพยากรณ์ ดังนั้น คำถามสำคัญที่คอยคำตอบอยู่ก็คือ “ในภาวะปัจจุบัน พวกเราจะอนุรักษ์รักษาธรรมชาติอย่างไร เพื่อมิให้ “โลกรวน” ไปมากกว่านี้”..."
การประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติ ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศครั้งที่ 26 หรือ COP26 ณ เมืองกลาสโกว์ สหราชอาณาจักร ระหว่างวันที่ 31 ตุลาคมถึง 12 พฤศจิกายน 2021 ซึ่งมีผู้นำทั่วโลกกว่า 120 ประเทศ พร้อมผู้เข้าร่วมประชุมอีก 25,000 คน ได้ปิดฉากลงไปแล้ว
บทสรุปจากเวทีครั้งนี้ มีพันธสัญญาร่วมกันว่า จะจำกัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยโลกไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียส แต่ละประเทศจะต้องไม่มีการตัดไม้ทำลายป่าภายในปี 2030 และระดับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เหลือสุทธิเป็นศูนย์ให้ได้ภายในปี 2050 หรืออีก 29 ปีข้างหน้า และต้องลดการปล่อยก๊าซมีเทนลง 30 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับระดับปี 2020 อย่างไรก็ดี ผู้สันทัดกรณียังมองว่า คำมั่นสัญญาดังกล่าวนี้คงเป็นเพียงคำขายฝันเพราะในความเป็นจริงทุก 1 องศาเซลเซียสที่สูงขึ้น ปริมาณน้ำในอากาศจะเพิ่มขึ้น 7-10 เปอร์เซ็นต์ และในอนาคต ฤดูมรสุมฝนจะมากกว่าปกติ 1-3 เท่า ฤดูแล้งจะแล้งกว่า 3-4 เท่า ขณะเดียวกัน ผู้นำจีนและอินเดียก็กลับเลือกที่จะไม่เข้าประชุมในครั้งนี้ แสดงให้เห็นถึงความคิดที่แตกต่างกันระหว่างประเทศพัฒนากับประเทศกำลังพัฒนา ประธานาธิบดีสี จิ้น ผิง ของสาธารณรัฐประชาชนจีนได้ให้ข้อคิดว่า “สมาชิกประเทศ G20 ควรเป็นผู้นำในการส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีขั้นสูง และการจัดการเงินทุนให้กับประเทศที่กำลังพัฒนา เพื่อจะได้บรรลุเป้าหมายตามพันธกรณีอย่างจริงจัง” [1]
ไม่ว่าผลการประชุม COP26 จะเป็นอย่างไร แต่ที่แน่ ๆ ในช่วงเวลาที่ผ่านมา เราได้เห็นปรากฏการณ์ โลกรวน (climate change) ขึ้นเรื่อย ๆ จากภัยธรรมชาติที่มีความรุนแรงและเกิดบ่อยครั้ง ที่สำคัญ ภัยนี้เข้ามาใกล้ตัวเรามากขึ้น เห็นได้จากมรสุมหลายระลอกซึ่งไม่เคยปรากฎมาก่อน เข้าประเทศไทยในปีนี้ น้ำในแม่น้ำเกือบทุกสายขึ้นล้นตลิ่งแบบไม่ได้ทันตั้งตัว รวมถึงภาวะฝุ่นละอองที่เพิ่มสูงขึ้น จนทำให้เราต้องนั่งจับจ้องค่า PM 2.5 แทนตัวเลขจำนวนผู้ป่วยโควิด-19 ในแต่ละวัน
อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เราอาจมองข้ามไปคือ จำนวนประชากรโลกในอีก 50 ปีข้างหน้า ประชากรจะเพิ่มจาก 6.2 พันล้านคน เป็น 9.5 พันล้านคน ขณะที่ปัจจุบันเราใช้พื้นที่ที่มีศักยภาพในการทำเกษตรถึง 80 เปอร์เซ็นต์ เมื่อถึงตอนนั้น การเกษตรแบบดั้งเดิมจะเลี้ยงคนทั่วโลกได้อย่างไร เราคงนึกภาพนี้ไม่ออก จากการที่เป็นประเทศที่ได้ชื่อว่า “ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว” จึงเป็นที่มาของการต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำเกษตรใหม่ ด้วยการผสมผสานทั้งวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเข้าด้วยกัน และหนึ่งในรูปแบบการทำเกษตรที่มาแรงคือ การทำเกษตรแบบแนวตั้ง “Vertical Farming” ซึ่งมีการดำเนินการแล้วในอดีตเมื่อประมาณ 600 ปีก่อนคริสตกาล ได้แก่ การทำสวนลอยที่บาบิโลน (Hanging Gardens) ตั้งอยู่ที่ริมแม่น้ำยูเฟรติส ประเทศอิรักในปัจจุบัน ที่สร้างเป็นระเบียงสูงถึง 100 เมตร ทุกชั้นได้รับการตกแต่งด้วยไม้ดอก ไม้ยืนพุ่มชนิดต่าง ๆ มีระบบชลประทานชักน้ำจากแม่น้ำยูเฟรติสไปเลี้ยงต้นไม้ได้ตลอดปี แต่นั่นเป็นเรื่องของอดีต สำหรับปัจจุบัน แนวคิดเรื่องเกษตรแบบแนวตั้งเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อปี 1999 จากผลการศึกษาของศาสตราจารย์ดิกสัน เดสปอมเมียร์ (Dickson Despommier) แห่งภาควิชาวิทยาศาสตร์สุขภาพสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย สหรัฐอเมริกา ที่วางรูปแบบการเพาะปลูกในโรงเรือนที่มีหลังคา มีลักษณะเป็นชั้น ๆ เพาะเลี้ยงพืชโดยไม่ต้องใช้ดิน และนำเทคโนโลยีมาใช้ควบคุมอุณหภูมิ ปริมาณน้ำ และสารอาหาร ใช้แสงไฟ LED มาแทนแสงแดด ทำให้สามารถควบคุมปัจจัยภายนอกได้ดีกว่าการปลูกกลางแจ้งที่ราบที่ต้องพึ่งพาธรรมชาติ และไม่ต้องใช้พื้นที่กว้างใหญ่ที่กว่าจะรดน้ำพรวนดินให้ครอบคลุมทั่วบริเวณแต่ละครั้งกินเวลาเป็นวัน ๆ [2]
Vertical Farming เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในหลาย ๆ ประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว ประเทศสิงคโปร์ เป็นประเทศแรกที่ทำสวนผักแนวตั้งเชิงพาณิชย์ชื่อ Singapore Sky Green Farm ปลูกผักในเรือนกระจกขนาดใหญ่ มีทั้งหมด 120 ล็อค ให้ผลผลิตกว่า 0.5 ตัน โดยใช้เวลาเพาะปลูกสั้นมาก เก็บเกี่ยวเสร็จหมดเพียง 4 ชั่วโมง อย่างไรก็ตาม Vertical Farming ที่ผมตะลึงที่สุดคือ AppHarvest เรือนกระจกใหญ่ที่สุดในโลก มีพื้นที่กว่า 150 ไร่อยู่ริมเขาในเมือง Appalachia มลรัฐ Kentucky ซึ่งเคยเป็นเหมืองถ่านหินที่ถูกปิดไปแล้ว เป็นเรือนกระจกปลูกมะเขือเทศที่ชุบชีวิตเมืองซึ่งประชากรเคยมีรายได้ต่ำสุดให้กลับมาเจริญมีชีวิตชีวานับจากปี 2020 ที่เริ่มเปิดดำเนินการ [3]
การปลูกมะเขือเทศด้วย Vertical Farming แห่งนี้ ใช้พื้นที่น้อยกว่าแนวราบมาก แต่สามารถได้ผลผลิตมากกว่า 30 เท่า แถมใช้น้ำน้อยกว่าถึง 90 เปอร์เซ็นต์ ภายในเรือนกระจกสามารถควบคุมแสง อุณหภูมิ และสารอาหารที่ใช้บำรุงมะเขือเทศ โดยไม่ต้องใช้ดินเลย มีเซ็นเซอร์กระจายอยู่กว่า 300 จุด และมีปัญญาประดิษฐ์อัจฉริยะ (AI) ควบคุมสภาพแวดล้อมและมีสารอาหารและน้ำเพียงพอเพื่อดูแลมะเขือเทศกว่า 7 แสนต้น และที่น่าอัศจรรย์ที่สุดคือการใช้หุ่นยนต์มาเก็บเกี่ยวมะเขือเทศ เจ้าหุ่นยนต์ตัวนี้มีตาวิเศษ ที่รู้ว่ามะเขือเทศผลใดสุก แถมยังมีมือวิเศษยื่นออกไปตัดผลมะเขือเทศจากต้นได้อย่างคล่องแคล่วเร็วกว่าฝีมือมนุษย์
จอช เลสซิง (Josh Lessing) ผู้อำนวยการฝ่ายเทคโนโลยีของ AppHarvest กล่าวว่า “การทำการเกษตรถือเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดโลกรวน เราจึงต้องเนรมิตให้เกิดวิถีการเกษตรูปแบบใหม่ที่จะต้องทำต่อเนื่องเป็นลูกโซ่ ตอบโจทย์การเติบโตที่ยั่งยืน ด้วยการไม่ปล่อยก๊าซเรือนกระจก ไม่สร้างมลภาวะให้กับสิ่งแวดล้อมเช่นเดียวกับการทำเกษตรแบบดั้งเดิม”
นอกจากนี้ ยังมีความพยายามของมนุษย์ที่จะคิด Vertical Farming ในรูปแบบต่าง ๆ อย่างไม่หยุดยั้ง เช่น การปลูกผักสลัดและสตรอว์เบอรีในอุโมงค์ลอดภูเขายาวถึง 600 เมตร ที่ไม่ได้ใช้งานแล้วในเมือง Chungcheong ประเทศเกาหลีใต้ มีการใช้ระบบการควบคุมแสงสีชมพู และเสียงเพลงคลาสสิคของ Beethoven และ Schubert เพื่อเป็นแรงกระตุ้นในการเติบโตอย่างสมบูรณ์และงดงามของผักและผลสตรอว์เบอรีอีกด้วย[4] ที่น่าตื่นเต้น Vertical Farming ไม่มีแต่เพียงการปลูกในเรือนกระจกและอุโมงค์เท่านั้น แต่ได้เริ่มมีการปลูกลงใต้ดินแล้วลึกลงไปกว่า 33 เมตรในมหานครลอนดอน และกำลังมีการศึกษาความเป็นไปได้ที่จะปลูกลงไปใต้มหาสมุทรตามโครงการ Nemo’s Garden ของประเทศอิตาลี ที่ใช้โดมที่ผลิตจากวัสดุอะคริลิคหย่อนลงไปในทะเลลึก 30 เมตรสำหรับปลูกผักและต้องแปลงน้ำทะเลให้เป็นน้ำจืดเพื่อนำมาใช้ในการเพาะปลูก [5]
สำหรับเมืองไทย เราเริ่มเห็นแนวโน้มของการทำ Smart Farm หรือการเพาะปลูกในโรงเรือนมาสักระยะหนึ่ง แต่ยังไม่แพร่หลายมาก จึงเป็นความท้าทายของเกษตรกรไทยที่ยังเป็นผู้ตามในด้านการพัฒนาเทคโนโลยี และการนำมาประยุกต์ใช้จริงในปัจจุบันด้วยมนุษย์ที่อยู่บนโลกแบบ 2 ขั้ว ขั้วหนึ่ง ตั้งหน้าตั้งตาทำลายสิ่งแวดล้อม ขณะที่อีกขั้วหนึ่งกำลังขวนขวายวิธีการการทำเกษตรกรรมรูปแบบใหม่ Vertical Farming ที่อาจจะตอบโจทย์ในอนาคตได้ แม้จะต้องแลกกับเงินทุนมหาศาล แต่จะสำเร็จเพียงใดคงยากที่จะพยากรณ์ ดังนั้น คำถามสำคัญที่คอยคำตอบอยู่ก็คือ “ในภาวะปัจจุบัน พวกเราจะอนุรักษ์รักษาธรรมชาติอย่างไร เพื่อมิให้ “โลกรวน” ไปมากกว่านี้”
แหล่งที่มา:
[1] ประชาชาติธุรกิจ. 2021. คำมั่นผู้นำโลก "COP26" ทุกประเทศมุ่งสู่ Net Zero ปี 2050. [online] Available at:<https://www.prachachat.net/csr-hr/news-796512>[Accessed 13 November 2021].
[2] SV Group. 2021. Vertical farming คืออะไร จำเป็นต่อโลกอนาคตอย่างไรบ้าง? - SV Group. [online] Available at: <https://www.svgroup.co.th/blog/what-is-vertical-farming/> [Accessed 13 November 2021].
[2] En.wikipedia.org. 2021. Vertical farming - Wikipedia. [online] Available at:<https://en.wikipedia.org/wiki/Vertical_farming> [Accessed 13 November 2021].
[3] Words Liz Kang, C., 2021. Could the biggest greenhouse in the US be the future
of farming?. [online] CNN. Available at: <https://edition.cnn.com/2021/10/06/world/appharvest-kentucky-greenhouse-robot-farming-spc-intl-hnk/index.html> [Accessed 13 November 2021].
[4] Temujin Doran and Katie Pisa, C., 2021. This farm has been built in an abandoned tunnel. [online] CNN. Available at: <https://edition.cnn.com/2019/12/09/asia/south-korea-vertical-farm-intl-c2e/index.html> [Accessed 13 November 2021].
[5] Ogsociety.org. 2021. Nemo's Garden. [online] Available at: <http://www.ogsociety.org/journal/featured-articles/335-nemos-garden.html>[Accessed 13 November 2021].