"...คุณหว๋อเล่าถึงปรัชญาของการใช้ชีวิตว่า “ทำทุกวันให้มีความสุข รู้จักกิน รู้จักใช้ พึ่งพาตนเอง พอใจกับสิ่งที่มี” ทั้งสองคนตื่นตั้งแต่ตี 4 ลงมาดูไร่สวน หญ้าทุกกอ ต้นไม้ทุกต้น ปลาทุกตัว ดูแลเองทั้งหมด จัดเตรียมอาหารโดยไม่มีลูกมือ ขณะที่คุณอิ๋วเสริมว่า “การได้ใช้ชีวิตแบบเรียบง่าย ในบรรยากาศสงบร่มเย็น ถือว่าโชคดีแล้ว มีรายได้เพียงพอส่งลูกชายคนเดียวเรียนจบวิศวกรรมศาสตร์” ไม่เคยคิดจะขยายกิจการ ไม่พึ่งพาโซเซียลมีเดียโฆษณาร้าน ลูกค้ารู้จักแบบปากต่อปาก และต้องจองล่วงหน้า “มีวันหนึ่งลูกค้าขับรถมาโดยไม่ได้นัดหมาย ผมจำต้องปฏิเสธ แต่เมื่อลูกค้าท่านนี้กลับมาที่ร้านใหม่ตามที่จองไว้ ก็กลายมาเป็นลูกค้าประจำจนถึงวันนี้” คุณหว๋อพูดด้วยความภูมิใจ..."
การเปิดประเทศเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ได้เริ่มเห็นนักท่องเที่ยวต่างชาติใจกล้าทยอยเข้ามาบ้างแล้ว แม้จะยังไม่มาก แต่ก็เป็นการจุดประกายความหวัง พอเริ่มเห็นแสงสว่างปลายอุโมงค์ ตอนนี้การท่องเที่ยวไม่ใช่การพักผ่อนธรรมดา แต่เป็นงานช่วยบ้านเมือง เราจะฟื้นฟูไปสู่จุดเดิมได้ ก็ต้องช่วยกันเที่ยวคนละไม้คนละมือ ผมจึงถือโอกาส “หาเหตุผลให้ตัวเอง” ด้วยการออกไปหาอาหารอร่อย ๆ แถวปริมณฑล นึกถึง “ร้านแพพอเพียง” ที่กำแพงแสน นครปฐม เป็นร้านที่มีเอกลักษณ์โดนใจนักชิม รับลูกค้าเพียงวันละ 1 โต๊ะ ให้เลือกได้ว่าจะเป็นมื้อกลางวันหรือมื้อเย็น แต่การจองไม่ใช่เรื่องง่ายต้องนัดล่วงหน้าเป็นเดือน แถมต้องแจ้งจำนวนคนและรายชื่อให้กับทางร้าน โชคดีมีคิวว่างพอดีในวันเสาร์เพราะร้านเพิ่งเปิดหลังคลายล็อกดาวน์ ผมไม่ชักช้ารีบตะบึงรถไปทันที
แม้ว่าผมจะคุ้นเคยกับเส้นทางไปนครปฐม แต่ยังต้องใช้ google map นำทาง เพราะร้านอยู่เลยตัวเมืองไปพอสมควร ต้องขับเลี้ยวแยกจากถนนใหญ่ เข้าไปลึกจนถึงไร่อ้อย ไร่สวน มีบึงใหญ่พื้นที่กว้างกว่า 26 ไร่ เมื่อไปถึง เจ้าของร้าน คุณอนุสิทธิ์ สอสิริกุล (หว๋อ) และคุณเกสร ถีสูงเนิน (อิ๋ว) สามีภรรยา ออกมาต้อนรับเชื้อเชิญให้เข้าไปนั่งที่ศาลาริมน้ำ มีโต๊ะอาหารอยู่โต๊ะเดียวบรรยากาศทั่วท้องน้ำสงบเงียบ สวยงาม พักผ่อนทั้งสายตา รื่นรมย์ทั้งทางใจ จนลืมความวุ่นวายของป่าคอนกรีตเป็นปลิดทิ้ง
พวกเราพูดคุยกันสนุกสนานเพราะไม่ได้พบกันนาน อาหารค่อย ๆ ทยอยออกมา โดยไม่มีเมนูให้สั่ง พ่อครัวอยากจะทำอะไรก็ทำมาให้ลูกค้ากิน เพราะแน่ใจว่าทุกจานต้องอร่อยถูกใจลูกค้าที่ตั้งใจมากิน เมนูทุกจานเป็นปลา จานเด็ดไม่พ้น ปลาแรดทอดสามรส ปลาคังลวกจิ้ม ฉู่ฉี่ปลาคัง
และปลาทับทิมนึ่งซีอิ๊ว แต่ละจานตกแต่งน่ารับประทาน ที่โดดเด่นคือ ปลาคังลวกจิ้ม ที่นำเนื้อปลามาวางเรียงรอบจาน แถมม้วนเป็นดอกกุหลาบอยู่ตรงกลางอย่างสวยงาม เพียงคำแรกที่เข้าปาก ก็รู้สึกถึงความอร่อย รับประกันถึงความสด เพราะปลาทุกตัว ไม่ว่าจะเป็นปลาคัง ปลานิล ปลากะพง หรือปลาตะเพียน ล้วนแล้วมาจากบ่อเลี้ยงในบ้าน วัตถุดิบที่นำมาใช้ก็ได้มาจากต้นทาง ผักมาจากสวนเกษตรที่ปลูกเอง ข้าวกล้องก็มาจากข้าวเปลือกที่สีเองจากนาของแม่ยายที่อำเภอสูงเนิน โคราช นับเป็นการตอบโจทย์ทั้งในเรื่องการตั้งการ์ดสูงป้องกันโควิด-19 พร้อมช่วยเศรษฐกิจท้องถิ่น และได้กินอาหารสุขภาพ
หลังจากอิ่มหนำสำราญแล้ว ผมถือโอกาสชวนคุณหว๋อและคุณอิ๋วมาร่วมสนทนาเพื่อจะได้รับรู้ว่า กว่าจะมาเป็นร้าน “แพพอเพียง” ทั้งสองได้ฟันฝ่าชีวิตมาอย่างไร
คุณหว๋อเล่าว่า พ่อแม่เป็นเกษตรกร ชาวสามพราน มีพี่น้อง 11 คน เรียนจบโรงเรียนช่างกล เข้าทำงานเป็นช่างโรงพิมพ์อยู่ได้เพียง 3 เดือน พ่อเรียกให้กลับมาช่วยกิจการฟาร์มหมูของครอบครัว ซึ่งต้องทำครบวงจรเลี้ยงหมู ตั้งแต่เกิดไปจนถึงเป็นพ่อค้าเขียงหมูในตลาดสด แล้วจู่ ๆ ก็ได้รับที่ดินผืนใหญ่นี้มาจากพี่ชาย จึงตั้งเป้าฝันจะเป็นเศรษฐีภูธร เริ่มเปิดกิจการชนิดการจับปลาหลายมือ ทำทุกอย่างที่ขวางหน้า นับตั้งแต่ ฟาร์มหมู บ่อตกปลา ทำไร่สวน ไปจนถึงร้านอาหาร โดยไม่มีการวางแผน ไม่มีความรู้เรื่องธุรกิจ ไม่นานทุกอย่างก็ล้มเหลวไม่เป็นท่า เงินทองไหลออก มีหนี้สินล้นพ้นตัว ไปขอเจรจาลดดอกเบี้ยกับทางธนาคารก็ไม่สำเร็จ จึงหันกลับมามองหาสัจธรรมของชีวิตแบบพอเพียงตามแนวพระราชดำริของพ่อหลวง ร. 9 คิดขึ้นมาได้ว่า “เรามีดิน มีน้ำ มีบ่อปลา มีผลไม้ ทำไมเราไม่รู้จักความเป็นอิสระ กำหนดชะตาชีวิตปฏิบัติตัวพอมีพอกิน ความพอประมาณ มีภูมิคุ้มกัน”
สองสามีภรรยาตกลงใจเลิกกิจการทุกอย่างในปี 2552 เหลือไว้เพียงร้านอาหารเพื่อยังชีพ เพราะมั่นใจว่า ตัวเองมีรสมือทำอาหารที่ใคร ๆ บอกว่าอร่อย และรู้ดีว่า ถ้าจะเปิดร้านอาหารต้องไม่พึ่งคนอื่นเด็ดขาด จึงทำกันเองเพียงสองคนและเน้นทำเฉพาะเมนูปลาเพราะเลี้ยงปลาเอง แม้ว่าการทำอาหารประเภทนี้ต้องมีความใส่ใจและพิถีพิถันมากกว่าอาหารประเภทอื่น ไม่ว่าจะเป็นการล้างปลา การแล่เนื้อปลา การปรุงไม่ให้มีกลิ่นคาว ที่สำคัญ ต้องประเมินให้ได้ว่า ลูกค้ากินตามเมนูที่ทำแล้วมันจะอร่อย โชคเข้าข้าง กิจการร้านอาหารประสบความสำเร็จเกินคาด มีลูกค้าเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แต่อยู่มาวันหนึ่ง ลูกค้ากำลังแน่นร้าน เต็มทุกโต๊ะ ทำอาหารไม่ทัน ลูกค้าหลายต่อหลายคนต้องเข้ามาตามถึงในครัว ถามว่าเมื่อไหร่จะได้กินสักที แม้ว่าลูกค้าจะมีเมตตาบอกว่า “ไม่เป็นไร รอได้” แต่คิดว่าถึงจุดที่ต้องปรับปรุงและเปลี่ยนแปลง เพราะทุกคนดูจะเครียดกันไปหมด และนี่คือที่มาของแนวคิด “อาหารวันละเพียง 1 โต๊ะ” คุณหว๋อบอกว่า “ผมไม่ต้องการทำอาหารจนเกินพอ เพื่อรักษาสมดุลของธรรมชาติ หากเราทำมากเกินไป ก็จะมีของเสียโดยไม่จำเป็น บ่อปลาของผมขนาดเท่านี้ หากโลภคิดแบบตักตวง 10 โต๊ะ 20 โต๊ะ ก็น่าจะทำได้ แต่มันเป็นการทำลายธรรมชาติตั้งแต่ต้นทางโดยไม่รู้ตัว”
คุณหว๋อเล่าถึงปรัชญาของการใช้ชีวิตว่า “ทำทุกวันให้มีความสุข รู้จักกิน รู้จักใช้ พึ่งพาตนเอง พอใจกับสิ่งที่มี” ทั้งสองคนตื่นตั้งแต่ตี 4 ลงมาดูไร่สวน หญ้าทุกกอ ต้นไม้ทุกต้น ปลาทุกตัว ดูแลเองทั้งหมด จัดเตรียมอาหารโดยไม่มีลูกมือ ขณะที่คุณอิ๋วเสริมว่า “การได้ใช้ชีวิตแบบเรียบง่าย ในบรรยากาศสงบร่มเย็น ถือว่าโชคดีแล้ว มีรายได้เพียงพอส่งลูกชายคนเดียวเรียนจบวิศวกรรมศาสตร์” ไม่เคยคิดจะขยายกิจการ ไม่พึ่งพาโซเซียลมีเดียโฆษณาร้าน ลูกค้ารู้จักแบบปากต่อปาก และต้องจองล่วงหน้า “มีวันหนึ่งลูกค้าขับรถมาโดยไม่ได้นัดหมาย ผมจำต้องปฏิเสธ แต่เมื่อลูกค้าท่านนี้กลับมาที่ร้านใหม่ตามที่จองไว้ ก็กลายมาเป็นลูกค้าประจำจนถึงวันนี้” คุณหว๋อพูดด้วยความภูมิใจ
คุณหว๋อฝากข้อคิดไว้ว่า “การลงมือทำอะไร ต้องรู้จริง ถ้าไม่รู้จริง ไม่มีทางสำเร็จ มีคนบอกผมว่า จะทำอะไร ทำอย่างเดียวให้ดีที่สุด ผมคิดว่าการทำเกษตรที่นำเทคโนโลยีมาใช้เป็นเรื่องดี แต่ถ้าเกษตรกรไม่ได้นำภูมิปัญญาที่สะสมมาตั้งแต่สมัยปู่ย่าตายายมาใช้ก็ตอบโจทย์ไม่ได้ การดูแลรักษาต้นไม้แต่ละต้น เลี้ยงปลาแต่ละตัว ต้องมี passion ต้องรู้จักแหกคอก เพราะทุกอย่างมีชีวิตเหมือนกัน”
เรื่องราวชีวิตของคุณอนุสิทธิ์ สอสิริกุล และคุณเกสร ถีสูงเนิน และร้านแพพอเพียงได้ตอบโจทย์ว่า “ชีวิตของแต่ละคนมีทางเลือก ขอให้มีคำว่า “พอ” ตัวเดียว แล้วจะพอในทุกเรื่อง”
แหล่งที่มา :
[1] ตลาดสดสนามเป้า | 6 ธันวาคม 2558 | เป้-อารักษ์ “แพพอเพียง” Youtube.com. 2021.[online] Available at: www.youtube.com/watch?v=N2T5luMvVuw [Accessed 6 November 2021].