"..ปัญหาสำคัญคือพรรคการเมืองที่ตั้งขึ้นมาใหม่ ที่มีการจัดตั้งสาขาพรรคในจำนวนที่น้อย อาจจะจะเสียเปรียบในการส่งผู้สมัครรับเลือกตั้ง เพราะพรรคเก่าแก่ หรือพรรคใหญ่ ที่มีสาขาพรรคหรือตัวแทนพรรคประจำจังหวัดในจำนวนที่มากกว่า ซึ่งหมายความว่าพรรคเก่าแก่ พรรคใหญ่ มีความพร้อมที่จะสามารถส่งผู้สมัครลงได้มากกว่าพรรคใหม่และพรรคขนาดเล็กนั่นเอง..."
สืบเนื่องจากกรณีที่ประธานรัฐสภา ส่งความเห็นของสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) จำนวน 77 คน ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 148 วรรคหนึ่ง (1) ประกอบมาตรา 132 ว่าร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยพรรคการเมือง (ฉบับที่.. ) พ.ศ. .... มาตรา 3 มาตรา 4 มาตรา 5 มาตรา 6 มาตรา 7 มาตรา 9 และมาตรา 10 มีข้อความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 45 มาตรา 83 มาตรา 86 มาตรา 90 มาตรา 91 และมาตรา 258 ก.ด้านการเมือง (2) หรือไม่ หรือตราขึ้นโดยไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือไม่ ซึ่งคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ กำหนดนัดแถลงด้วยวาจา ปรึกษาหารือ และลงมติคำร้องดังกล่าว ในวันที่ 23 พ.ย.2565 เวลา 09.30 น. นี้
ผลเป็นอย่างไร คงต้องรอฟังเป็นทางการอีกครั้ง
อย่างไรก็ดี หากพิจารณาคำร้องสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) จำนวน 77 คนดังกล่าว จะพบว่ามีหลายประเด็นที่ต้องรอลุ้นว่ามีข้อความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ หรือตราขึ้นโดยไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือไม่
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) สรุปเรียบเรียงประเด็นมานำเสนอต่อสาธารณชน ณ ที่นี้
ประเด็นที่ 1 เรื่องการจัดเก็บค่าธรรมเนียมและค่าบำรุงพรรคการเมือง ซึ่งต้องเรียกเก็บจากสมาชิกพรรคไม่น้อยกว่าปีละ 100 บาทและมีการแก้ไขว่าเรียกเก็บจากสมาชิกพรรคการเมืองปีละไม่น้อยกว่า 20 บาท และการเก็บค่าสมาชิกแบบตลอดชีพจากเดิมต้องไม่น้อยกว่า 2,000 บาทโดยมีการแก้ไขให้เรียกเก็บจากสมาชิกไม่น้อยกว่า 200 บาท
ประเด็นที่ 2 เรื่องการแก้ไขคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของสมาชิกพรรคการเมือง ที่มีการแก้ไขมาตรา 98 (10) กำหนดให้ผู้ที่เคยต้องคำพิพากษาอันถึงที่สุดให้จำคุกว่ากระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการหรือต่อตำแหน่งหน้าที่ในการบวนการยุติธรรมหรือกระทำผิดตามกฎหมายว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานรัฐ หรือความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ที่กระทำโดยทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งเดิมจะไม่มีสิทธิ์สมัครเป็นสมาชิกพรรคการเมือง แต่มีการปรับแก้หากไม่ถึงขั้นถูกจำคุก ให้เข้าสมัครสมาชิกพรรคได้ และสามารถสมัครรับเลือกตั้งได้
ประเด็นที่ 3 เรื่องการกำหนดตัวแทนพรรคการเมืองประจำจังหวัด เพื่อดำเนินกิจกรรมของพรรคการเมืองในเขตพื้นที่รับผิดชอบ ที่มีการแก้ไขว่า ในจังหวัดใดที่ไม่ได้ตั้งเป็นสาขาพรรคการเมือง หากมีสมาชิกซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ในจังหวัดนั้นเกิน 100 คนพรรคอาจตั้งสมาชิกที่มาจากการเลือกของสมาชิกให้เป็นตัวแทนพรรคการเมืองประจำจังหวัดได้ ตามจำนวนที่เห็นสมควร
ประเด็นที่ 4 เรื่องการตัดหลักเกณฑ์การคัดเลือก ส.ส.จากสาขาพรรคการเมืองหรือตัวแทนพรรคการเมืองประจำจังหวัด ที่มีเขตพื้นที่รับผิดชอบในเขตเลือกตั้งนั้นออกไป แต่ให้มีสาขาพรรคการเมืองหรือตัวแทนพรรคการเมืองประจำจังหวัดนั้น ก็สามารถดำเนินการคัดเลือกผู้สมัคร ส.ส.ได้ เรื่องการแก้ให้การสรรหาผู้สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. ให้เป็นการรับฟังความคิดเห็นของสมาชิกและให้ความเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบตามรายชื่อที่คณะกรรมการสรรหาส่งมาโดยที่ประชุมสาขาพรรคการเมืองหรือตัวแทนพรรคการเมืองประจำจังหวัด ซึ่งไม่มีสิทธิ์ลงคะแนนเลือกผู้สมัคร
ประเด็นที่ 5 การแก้ไข พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง สืบเนื่องจากการแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2560 มาตรา 83 ,86,91 เรื่องจำนวน ส.ส.500 คน เป็น ส.ส.เขต 400 และ ส.ส.บัญชีรายชื่อ 100 คน การคำนวณ ส.ส. ที่แต่ละจังหวัดจะพึงมีและเขตเลือกตั้ง และการคำนวณ ส.ส. บัญชีรายชื่อ แต่ในร่างกฎหมายพรรคการเมืองมีการแก้ไขเกินกว่าประเด็นที่มีการแก้รัฐธรรมนูญไว้ 3 มาตรา
สำหรับการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในกรณีนี้ ถูกคาดการณ์จากคนในแวดวงการเมืองว่า จะแบ่งออกเป็น 2 แนวทาง คือ
แนวทางที่ 1 กรณีร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง (ฉบับที่.. ) พ.ศ. .... ไม่ขัดรัฐธรรมนูญ การดำเนินการขของพรรคการเมืองจะทำได้ง่ายขึ้น ทั้งการหาสมัครสมาชิกพรรคง่ายขึ้น จากเงินค่าสมัครลดลง คุณสมบัติสมาชิกพรรคลดลง ไม่จำเป็นต้องมีคุณสมบัติเหมือนผู้สมัคร ส.ส. รวมทั้งเรื่องการสรรหาผู้สมัคร ส.ส.ในแบบเขตหรือบัญชีรายชื่อกระบวนการจะง่ายขึ้น โดยพรรคการเมืองมีสาขาหรือตัวแทนพรรคประจำจังหวัด ก็สามารถส่งผู้สมัครลงได้ครบทุกเขตเลือกตั้งในจังหวัดนั้น และการสรรหาผู้สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. ให้เป็นการรับฟังความคิดเห็นของสมาชิกพรรค แทนการลงมติเลือกจากสมาชิกพรรคในเขตเลือกตั้งนั้นๆ
แนวทางที่ 2 กรณีร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง (ฉบับที่.. ) พ.ศ. .... ขัดรัฐธรรมนูญ จะต้องกลับไปใช้ พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 โดยปริยาย ทั้งนี้แม้จะไม่มีผลต่อการเลือกตั้งโดยตรง แต่ก็ส่งผลต่อความยุ่งยากของพรรคการเมือง ในการส่งผู้สมัครลงเลือกตั้ง ส.ส. พอสมควร โดยเฉพาะการกลับไปทำไพรมารีโหวตรูปแบบเดิม ที่กำหนดให้พรรคการเมืองจะต้องมีสาขาพรรคหรือตัวแทนประจำจังหวัดในเขตเลือกตั้งนั้นๆ ถึงจะสามารถส่งผู้สมัครลงรับเลือกตั้งในเขตนั้นๆได้ รวมไปถึงกระบวนการทำ “ไพรมารีโหวต” (การดำเนินการให้ผู้ที่เป็นสมาชิกพรรคการเมืองลงคะแนนเสียงเพื่อเลือกผู้ที่จะเป็นตัวแทนพรรคการเมืองลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส.) และผู้ที่จะลงรับสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส. จะต้องเป็นผู้ที่ได้รับเลือกจากสาขาพรรคการเมือง หรือตัวแทนพรรคการเมืองในจังหวัดนั้นๆ (โดยในแต่ละสาขาจะต้องมีสมาชิกที่มีภูมิลำเนาอยู่ในในเขตพื้นที่นั้นๆ รวมทั้งหมดต้องมีสมาชิก 500 คนขึ้นไป ขณะที่การตั้งตัวแทนพรรคการเมืองประจำจังหวัดนั้นจะต้องมีสมาชิกในจังหวัดนั้นๆ 100 คนขึ้นไป)
แต่ปัญหาสำคัญคือพรรคการเมืองที่ตั้งขึ้นมาใหม่ ที่มีการจัดตั้งสาขาพรรคในจำนวนที่น้อย อาจจะจะเสียเปรียบในการส่งผู้สมัครรับเลือกตั้ง
เพราะพรรคเก่าแก่ หรือพรรคใหญ่ ที่มีสาขาพรรคหรือตัวแทนพรรคประจำจังหวัดในจำนวนที่มากกว่า ซึ่งหมายความว่าพรรคเก่าแก่ พรรคใหญ่ มีความพร้อมที่จะสามารถส่งผู้สมัครลงได้มากกว่าพรรคใหม่และพรรคขนาดเล็กนั่นเอง
เมื่อตามไปตรวจสอบข้อมูลสาขาพรรคการเมืองและตัวแทนพรรคการเมืองประจำจังหวัด จากฐานข้อมูลของสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) พบว่า จากข้อมูลพรรคการเมืองที่ยังดำเนินการอยู่ในวันที่ 23 ต.ค. 2565 มีทั้งหมด 87 พรรคการมือง
โดยในจำนวนนี้ มีพรรคที่มีสาขาพรรคและตัวแทนพรรคประจำจังหวัดสูงสุดคือ พรรคประชาธิปัตย์ 21 สาขา 317 ตัวแทนพรรค รวม 338 สาขา/ตัวแทน
รองลงมาคือ พรรคเพื่อไทย 4 สาขา 311 ตัวแทนพรรค รวม 315 สาขา/ตัวแทน พรรคเสรีรวมไทย 4 สาขา 287 ตัวแทนพรรค รวม 291 สาขา/ตัวแทน พรรคพลังประชารัฐ 4 สาขา 264 ตัวแทนพรรค รวม 268 สาขา/ตัวแทน พรรคก้าวไกล 8 สาขา 213 ตัวแทนพรรค รวม 221 สาขา/ตัวแทน พรรคภูมิใจไทย 4 สาขา 209 ตัวแทนพรรค รวม 213 สาขา/ตัวแทน
ส่วนพรรคอื่นนอกเหนือจากนี้มีสาขาพรรคและตัวแทนพรรครวมจำนวนไม่ถึง 100 สาขา/ตัวแทน และมีพรรคใหม่จำนวน 6 พรรค ที่ไม่มีสาขาพรรคและตัวแทนพรรคเลย
พรรคการเมืองไหนได้ประโยชน์ /เสียประโยชน์บ้าง คงพอดูกันได้ไม่ยากนัก!
ดังนั้น จึงต้องมารอลุ้นกันว่า สุดท้ายแล้วปลายทาง ร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง (ฉบับที่.. ) พ.ศ. .... และการทำไพรมารีโหวต จะมีบทสรุปอย่างไร?
จะส่งผลกระทบต่อการเมืองและการเตรียมการเลือกตั้งของพรรคการเมืองมากน้อยแค่ไหน?
ผลคำวินิจฉัยของศาลฯ ที่จะออกมาน่าจะมีคำตอบที่ชัดเจนมากขึ้น