"...ผู้ฟ้องคดีเห็นว่า มติและคําสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ที่ให้ผู้ฟ้องคดี พ้นจากตําแหน่งอธิการบดีฯ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 มีทัศนคติ ที่ไม่ดีอย่างรุนแรงต่อผู้ฟ้องคดีมาโดยตลอด และมีเจตนาที่จะทําให้ผู้ฟ้องคดีพ้นจากตําแหน่ง อธิการบดีฯ เนื่องจากผู้ฟ้องคดีเคยยื่นหนังสือร้องเรียนเกี่ยวกับการปฏิบัติงานของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ต่อรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงศึกษาธิการ..."
...........................
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานไปแล้วว่า ที่ประชุมคณะกรรมการอุดมศึกษา (กกอ.) ได้มีมติเห็นชอบให้สำนักงานกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เสนอเรื่องโปรดเกล้าฯ ถอดถอน รองศาสตราจารย์สมชาย ปฐมศิริ ออกจากตำแหน่งอธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก ก่อนทำเรื่องเสนอขอโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง รองศาสตราจารย์ ฤกษ์ชัย ฟูประทีปศิริ ที่ผ่านกระบวนการสรรหาอธิการบดีคนใหม่เรียบร้อยแล้ว ให้ดำรงตำแหน่งเป็นอธิการบดี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก คนใหม่เป็นทางการต่อไป
ขณะที่จากการสืบค้นข้อมูลพบว่า ในช่วงเดือนมกราคม 2563 ศาลปกครองสูงสุด ได้มีคำสั่งยืนตามศาลชั้นต้น ที่มีคำสั่งไม่รับคำฟ้องในคดีที่ รองศาสตราจารย์สมชาย ปฐมศิริ ฟ้องคดีต่อ สภามหาวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก กรณี ออกคำสั่งที่ 02/2562 ลงวันที่ 1 ก.พ.2562 ที่แต่งตั้ง รองศาสตราจารย์ ฤกษ์ชัย ฟูประทีปศิริ เป็นผู้รักษาราชการแทนอธิการบดี ไม่ชอบด้วยกฎหมายไว้พิจารณาไปแล้ว
ต่อไปนี้เป็นรายละเอียดคำสั่ง ศาลปกครองกลาง และศาลปกครองสูงสุด ในคดีนี้
ผู้ฟ้องคดี : รองศาสตราจารย์สมชาย ปฐมศิริ
ผู้ถูกฟ้องคดี : ประธานกรรมการปฏิบัติหน้าที่แทนสภามหาวิทยาลัย เทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก ที่ 1 คณะกรรมการปฏิบัติหน้าที่แทนสภามหาวิทยาลัย เทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก ที่ 2 มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก ที่ 3
เนื้อหาคดีโดยสรุป
รองศาสตราจารย์สมชาย ฟ้องว่า ได้รับความเสียหายจากคำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดี ที่ 2 ที่ 01/2562 ลงวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2562 ที่ให้ผู้ฟ้องคดีพ้นจากตำแหน่งอธิการบดี มทร.ตะวันออก
ต่อมาผู้ถูกฟ้องคดีมีคำสั่งแต่งตั้ง รองศาสตราจารย์ ฤกษ์ชัย ฟูประทีปศิริ เป็นผู้รักษาราชการแทนอธิการบดี ผู้ฟ้องคดีมีคำขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งเพิกถอนมติ รวมทั้งให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสาม ร่วมกันหรือแทนกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นเงินทั้งสิ้น 8,160,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชําระเสร็จสิ้น
หลังจากนั้น ผู้ฟ้องคดียื่นคําขอเกี่ยวกับวิธีการชั่วคราว ลงวันที่ 8 พฤษภาคม 2562 โดยขอให้ศาล มีคําสั่งทุเลาการบังคับตามคําสั่ง ที่ให้ผู้ฟ้องคดีพ้นจากตําแหน่งอธิการบดีฯ คําสั่ง ที่แต่งตั้งรองศาสตราจารย์ ฤกษ์ชัย ฟูประทีปศิริ เป็นผู้รักษาราชการแทนอธิการบดีฯ และคําสั่ง ที่แต่งตั้งคณะกรรมการสรรหาอธิการบดีฯ ไว้เป็นการชั่วคราว ก่อนการพิพากษา
โดยผู้ฟ้องคดีเห็นว่า มติและคําสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ที่ให้ผู้ฟ้องคดี พ้นจากตําแหน่งอธิการบดีฯ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 มีทัศนคติ ที่ไม่ดีอย่างรุนแรงต่อผู้ฟ้องคดีมาโดยตลอด และมีเจตนาที่จะทําให้ผู้ฟ้องคดีพ้นจากตําแหน่ง อธิการบดีฯ เนื่องจากผู้ฟ้องคดีเคยยื่นหนังสือร้องเรียนเกี่ยวกับการปฏิบัติงานของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ต่อรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงศึกษาธิการ
การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 เข้าร่วมประชุมเพื่อพิจารณาผลการตรวจสอบ ข้อเท็จจริงกรณีมีข้อร้องเรียนกล่าวหาเกี่ยวกับการบริหารงานของผู้ฟ้องคดี และบันทึก การประชุมด้วยตนเอง และต่อมา ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ได้เข้าร่วมประชุมลับและลงมติในการประชุมของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ให้ผู้ฟ้องคดีพ้นจากตําแหน่งอธิการบดี ฯ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ในฐานะประธานในการประชุม ย่อมทําให้กรรมการอื่น ๆ เกรงใจ ไม่กล้าอภิปรายแสดงความคิดเห็นและออกเสียง ลงคะแนนได้โดยอิสระ จึงเป็นกรณีที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 มีสภาพร้ายแรงอันอาจทําให้ การพิจารณาทางปกครองไม่เป็นกลางตามพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539
ผู้ฟ้องคดี ยังระบุด้วยว่า ไม่มีโอกาสโต้แย้งแสดงพยานหลักฐานหรือชี้แจงข้อเท็จจริง ในขั้นตอนการตรวจสอบข้อเท็จจริง ที่คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงดําเนินการ อย่างเร่งรีบ รับฟังข้อเท็จจริงไม่ครบถ้วน ทําให้ได้ข้อเท็จจริงไม่เพียงพอแก่การ และภายหลังจากที่ผู้ฟ้องคดีพ้นจากการปฏิบัติหน้าที่อธิการบดีฯ ปรากฏว่ามีการเพิ่มประเด็นข้อร้องเรียนขึ้นมาอีกหลายประเด็น ซึ่งผู้ฟ้องคดี ไม่เคยได้ชี้แจงแก้ข้อร้องเรียนครั้งที่สองแต่อย่างใด
การกระทําของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 และผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 จึงขัดต่อมาตรา 30 แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 และมิใช่กรณีเข้าข้อยกเว้นให้เจ้าหน้าที่ไม่ต้องแจ้งให้คู่กรณีทราบ ตามมาตรา 30 วรรคสอง และวรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว จึงเป็นการกระทํา ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เทียบเคียงคําพิพากษาศาลปกครองสูงสุด คดีหมายเลขแดง ที่ อบ. 12/2562 เมื่อมติของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ที่ให้ผู้ฟ้องคดีพ้นจากตําแหน่งอธิการบดีฯ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย คําสั่ง ที่ให้ผู้ฟ้องคดีพ้นจากตําแหน่งอธิการบดี ฯ และคําสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่2 ที่แต่งตั้ง รองศาสตราจารย์ ฤกษ์ชัย ฟูประทีปศิริ รักษาราชการแทนอธิการบดีฯ จึงเป็นคําสั่ง ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายเช่นกัน หากศาลไม่ทุเลาการบังคับตามคําสั่งทางปกครอง ตามคําขอของผู้ฟ้องคดี ย่อมมีผลให้ผู้ฟ้องคดีซึ่งดํารงตําแหน่งอธิการบดีฯ ซึ่งกฎหมาย กําหนดให้มีวาระการดํารงตําแหน่งที่แน่นอนคราวละ 4 ปี ไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ต่อไปได้ และต่อมาหากศาลมีคําพิพากษาหรือคําสั่งเพิกถอนมติของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 และคําสั่ง ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ข้างต้น ผู้ฟ้องคดีก็ไม่อาจกลับไปดํารงตําแหน่งอธิการบดีฯ ได้ดังเดิม เนื่องจากขณะนี้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 และผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ได้เสนอขอโปรดเกล้าฯ ถอดถอนผู้ฟ้องคดีจากตําแหน่งอธิการบดีฯ และเสนอขอโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งอธิการบดีฯ คนใหม่ ซึ่งเป็นความเสียหายแก่ผู้ฟ้องคดีที่ยากแก่การเยียวยาในภายหลัง อีกทั้งจะทําให้ มีอธิการบดีฯ หรือผู้รักษาราชการแทนอธิการบดีฯ ปฏิบัติหน้าที่ในขณะเดียวกันถึงสองคน อันส่งผลกระทบต่อการบริหารงานของผู้ฟ้องคดี และหากศาลไม่ชะลอกระบวนการ เสนอขอโปรดเกล้าฯ ถอดถอนผู้ฟ้องคดีออกจากตําแหน่งอธิการบดีฯ และการเสนอ ขอโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งอธิการบดีฯ คนใหม่ไว้ก่อน จะเป็นความเสียหายที่ยาก แก่การเยียวยาแก้ไขในภายหลัง และการทุเลาการบังคับตามคําสั่งทางปกครองดังกล่าวไม่ปรากฏเหตุที่จะเป็นอุปสรรคแก่การบริหารงานของรัฐหรือแก่การบริการสาธารณะ แต่อย่างใด
@ คำชี้แจงผู้ถูกฟ้องคดี
ศาลมีคําสั่งเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2562 ให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามชี้แจงหรือ คัดค้านคําขอทุเลาการบังคับตามคําสั่งทางปกครองของผู้ฟ้องคดี มีการระบุถึงการมีมติให้ผู้ฟ้องคดีพ้นจากตําแหน่ง อธิการบดีฯ ข้างต้น ได้พิจารณาตามรายงานการตรวจสอบข้อเท็จจริง ซึ่งขณะที่ผู้ฟ้องคดี ปฏิบัติหน้าที่อธิการบดีฯ ผู้ฟ้องคดีมีพฤติกรรมส่อไปในทางมิชอบเพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่น ได้รับประโยชน์ที่มิควรได้ ทุจริตต่อหน้าที่ราชการ และอาจเข้าข่ายแอบอ้างเบื้องสูง เพื่อแสวงหาประโยชน์ส่วนตน
โดยภายหลังจากที่ผู้ฟ้องคดีได้รับการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง ให้ดํารงตําแหน่งอธิการบดีฯ ตามประกาศสํานักนายกรัฐมนตรี เรื่อง แต่งตั้งอธิการบดี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก ผู้ฟ้องคดี ได้อนุมัติเงินงบประมาณเพื่อใช้ในการจัดพิธีรับสนองพระราชโองการโปรดเกล้า ฯ แต่งตั้งผู้ฟ้องคดีเป็นอธิการบดีฯ และแถลงนโยบายการบริหารงาน ซึ่งมีรูปแบบการจัดงาน ลักษณะเฉลิมฉลองเพื่อแสดงความยินดีกับผู้ฟ้องคดีซ้ําซ้อนกันถึง 2 วัน โดยไม่คํานึงถึง งบประมาณที่ใช้ในเรื่องดังกล่าวซึ่งควรนําไปใช้ในกิจการที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม
นอกจากนี้ ขณะผู้ฟ้องคดีดํารงตําแหน่งผู้ปฏิบัติหน้าที่อธิการบดีฯ และเป็นกรรมการ ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ผู้ฟ้องคดีก็ยังคงเป็นพนักงานมหาวิทยาลัยมหิดล อันเป็นการ ดํารงตําแหน่งซ้ำซ้อนและปกปิดซ่อนเร้นข้อเท็จจริงอันเป็นสาระสําคัญในสถานะของ ผู้ฟ้องคดีเพื่อให้ยังคงได้รับค่าตอบแทนจากมหาวิทยาลัยมหิดลอยู่ ซึ่งหากผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ยังไม่พิจารณาหรือมีมาตรการอื่นใดในการ กํากับดูแลหรือยับยั้งการกระทําที่ไม่ชอบ ด้วยกฎหมายของผู้ฟ้องคดีอาจทําให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 ได้รับความเสียหายจากการบริหารงานของผู้ฟ้องคดี จึงเป็นกรณีที่มีความจําเป็นเร่งด่วนเพื่อมิให้ราชการ ได้รับความเสียหาย หรือประโยชน์สาธารณะต้องเสียหาย และไม่มีเจ้าหน้าที่อื่นปฏิบัติหน้าที่แทน
กรรมการของ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ดังกล่าวย่อมพิจารณาทางปกครองต่อไปได้ตามมาตรา 18 แห่ง พระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539
ประกอบกับกรรมการทั้งสาม มิได้มีความสัมพันธ์ส่วนตัวใด ๆ กับผู้ฟ้องคดี โดยได้ให้คําปรึกษาแนะนําการดําเนินงาน ของผู้ฟ้องคดีขณะปฏิบัติหน้าที่อธิการบดีฯ มาโดยตลอด และไม่เคยมีเรื่องขัดแย้งหรือ มีสาเหตุโกรธเคืองกับผู้ฟ้องคดี หรือมีเจตนากลั่นแกล้ง มีอคติ อันส่งผลให้ผู้ฟ้องคดี เสียประโยชน์ รวมทั้งกรรมการทั้งสามมิได้มีผลประโยชน์หรือเสียประโยชน์จากการที่ ผู้ฟ้องคดียังคงอยู่หรือพ้นจากตําแหน่งอธิการบดี ฯ แต่อย่างใด
กรรมการทั้งสาม จึงมิใช่คู่กรณีกับผู้ฟ้องคดีที่มีสภาพร้ายแรงในการพิจารณาลงมติให้ผู้ฟ้องคดีพ้นจาก ตําแหน่งอธิการบดีฯ
ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามไม่เห็นด้วยกับคําขอทุเลาการบังคับตามคําสั่ง ทางปกครองของผู้ฟ้องคดี เนื่องจากขณะนี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดยคําแนะนําของคณะกรรมการการอุดมศึกษา อาศัยอํานาจตามข้อ 4 ของคําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ได้มีคําสั่งให้ผู้ฟ้องคดีพ้นจากตําแหน่งกรรมการของ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 อีกตําแหน่งหนึ่งด้วย การให้ผู้ฟ้องคดีกลับเข้าดํารงตําแหน่งอธิการบดีฯ ตามคําขอทุเลาการบังคับของผู้ฟ้องคดี จะทําให้เกิดปัญหาความวุ่นวายในการบริหารงาน และการดําเนินกิจการสาธารณะของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 และน่าจะขัดต่อเจตนารมณ์ของ คําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เรื่อง การจัดระเบียบและแก้ไข ปัญหาธรรมาภิบาลในสถาบันอุดมศึกษา ไม่สอดคล้องกับ คําสั่งกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เรื่อง ให้ผู้ดํารงตําแหน่งพ้นจากตําแหน่งหน้าที่ในมหาวิทยาลัยเทคโนโลยี ราชมงคลตะวันออก
อีกทั้งอาจกระทบต่อกระบวนการและพยานหลักฐาน ตลอดจน พยานบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการกระทําความผิดของผู้ฟ้องคดีขณะปฏิบัติหน้าที่หรือ ดํารงตําแหน่งอธิการบดีฯ ซึ่งผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 ได้มีหนังสือ ส่งเรื่องมูลกรณีการกระทําความผิดของผู้ฟ้องคดีไปยัง สํานักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติด้วยแล้ว
และโดยที่ขณะนี้อยู่ระหว่าง การดําเนินการเสนอโปรดเกล้า ฯ ให้ผู้ฟ้องคดีพ้นจากตําแหน่งอธิการบดีฯ และเสนอ โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งอธิการบดีฯ คนใหม่ ซึ่งหากศาลมีคําสั่งให้ทุเลาการบังคับ ตามคําขอของผู้ฟ้องคดี จะเกิดความยุ่งยากในการบริหารจัดการ และมีผลกระทบ ต่องบประมาณแผ่นดิน อันเป็นอุปสรรคที่จะเกิดขึ้นกับการบริหารงานของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสาม จนยากแก่การเยียวยาในภายหลัง เมื่อเปรียบเทียบกับความเดือดร้อนหรือเสียหายของผู้ฟ้องคดี
ศาลปกครองกลาง วินิจฉัยว่า ในชั้นนี้ ยังไม่ปรากฏเหตุเพียงพอที่จะรับฟังได้ว่าคําสั่ง ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ที่เป็นเหตุแห่งการฟ้องคดีนี้ น่าจะมีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยกฎหมายแต่อย่างใด
กรณีจึงไม่จําต้องพิจารณา เงื่อนไขที่ศาลจะสั่งทุเลาการบังคับตามคําสั่งทางปกครองในประการอื่นอีก
ส่วนประเด็นอื่น ๆ ที่ผู้ฟ้องคดีกล่าวอ้างเกี่ยวกับความไม่ชอบด้วยกฎหมายของคําสั่งดังกล่าว เป็นประเด็น ที่ศาลจะต้องดําเนินกระบวนพิจารณาในการแสวงหาข้อเท็จจริงให้เป็นที่ยุติเสียก่อน แล้วจึงมีคําวินิจฉัยในเนื้อหาของคดีต่อไป
ในชั้นนี้จึงยังไม่เข้าหลักเกณฑ์ที่ศาลจะสมควร มีคําสั่งทุเลาการบังคับตามคําสั่งทางปกครองดังกล่าวตามคําขอของผู้ฟ้องคดีได้ ตามมาตรา 66 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 ประกอบกับข้อ 72 วรรคสาม แห่งระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการ ในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2543
จึงมีคําสั่งยกคําขอเกี่ยวกับวิธีการชั่วคราวก่อนการพิพากษาของผู้ฟ้องคดี
@ การพิจารณาคดีของศาลปกครองสูงสุด
ในชั้นการพิจารณาคดีของศาลปกครองสูงสุดนั้น ศาลปกครองสูงสุดพิเคราะห์แล้วเห็นว่า พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครอง และวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 มาตรา 9 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า ศาลปกครอง มีอํานาจพิจารณาพิพากษาหรือมีคําสั่งในเรื่องดังต่อไปนี้ (1) คดีพิพาทเกี่ยวกับการที่ หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทําการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายไม่ว่าจะเป็น การออกกฎ คําสั่งหรือการกระทําอื่นใด ... (3) คดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทําละเมิดหรือ ความรับผิดอย่างอื่นของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อํานาจ ตามกฎหมาย หรือจากกฎ คําสั่งทางปกครอง หรือคําสั่งอื่น หรือจากการละเลยต่อหน้าที่ ตามที่กฎหมายกําหนดให้ต้องปฏิบัติหรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร และ มาตรา 42 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า ผู้ใดได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหายหรืออาจจะเดือดร้อน หรือเสียหายโดยมิอาจหลีกเลี่ยงได้อันเนื่องจากการกระทําหรือการงดเว้นการกระทําของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือมีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง หรือกรณีอื่นใดที่อยู่ในเขตอํานาจศาลปกครองตามมาตรา 9 และการแก้ไขหรือบรรเทา ความเดือดร้อนหรือเสียหายหรือยุติข้อโต้แย้งนั้น ต้องมีคําบังคับตามที่กําหนดในมาตรา 72 ผู้นั้นมีสิทธิฟ้องคดีต่อศาลปกครอง ประกอบกับพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยเทคโนโลยี ราชมงคล พ.ศ. 2548 มาตรา 25 วรรคหก บัญญัติว่า เมื่ออธิการบดีพ้นจากตําแหน่ง ให้รองอธิการบดีและผู้ช่วยอธิการบดีพ้นจากตําแหน่งด้วย มาตรา 28 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า ในกรณีที่ผู้ดํารงตําแหน่งอธิการบดีไม่อยู่หรือไม่อาจปฏิบัติราชการได้ ให้รองอธิการบดี เป็นผู้รักษาราชการแทน ถ้ามีรองอธิการบดีหลายคน ให้รองอธิการบดีซึ่งอธิการบดีมอบหมาย เป็นผู้รักษาราชการแทน ถ้าอธิการบดีมิได้มอบหมาย ให้รองอธิการบดีซึ่งมีอาวุโสสูงสุด เป็นผู้รักษาราชการแทน วรรคสอง บัญญัติว่า ในกรณีที่ไม่มีผู้รักษาราชการแทนอธิการบดี ตามความในวรรคหนึ่ง หรือมีแต่ไม่อาจปฏิบัติราชการได้ หรือไม่มีผู้ดํารงตําแหน่งอธิการบดี ให้สภามหาวิทยาลัยแต่งตั้งผู้มีคุณสมบัติตามมาตรา 26 วรรคหนึ่ง เป็นผู้รักษาราชการ แทนอธิการบดี
คดีนี้ผู้ฟ้องคดีฟ้องว่า ขณะผู้ฟ้องคดีดํารงตําแหน่งอธิการบดีมหาวิทยาลัย เทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก และปฏิบัติหน้าที่เป็นกรรมการของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 อีกตําแหน่งหนึ่ง ผู้ฟ้องคดีถูกร้องเรียนเกี่ยวกับการบริหารงาน
ต่อมา ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ได้มีคําสั่งคณะกรรมการปฏิบัติหน้าที่แทน สภามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก ลงวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2562 ให้ผู้ฟ้องคดีพ้นจากตําแหน่งอธิการบดีฯ เพราะเหตุบกพร่องต่อหน้าที่และมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่า กระทําการอันก่อให้เกิดความเสียหาย ต่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 และมีคําสั่งแต่งตั้ง รองศาสตราจารย์ ฤกษ์ชัย ฟูประทีปศิริ เป็นผู้รักษาราชการแทนอธิการบดีฯ
ทั้งนี้ ตามมติ ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ในการประชุมครั้งที่ 2/2562 เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2562 ผู้ฟ้องคดี เห็นว่า ในการประชุมเพื่อมีมติดังกล่าว มีกรรมการเข้าร่วมประชุมไม่ครบองค์ประชุม อีกทั้ง การมีคําสั่งให้ผู้ฟ้องคดีพ้นจากตําแหน่งอธิการบดีฯ เป็นอํานาจของรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงศึกษาธิการ โดยคําแนะนําของคณะกรรมการการอุดมศึกษา คําสั่งดังกล่าว จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ผู้ฟ้องคดีจึงนําคดีมาฟ้องต่อศาลปกครองชั้นต้น ขอให้ศาลพิพากษา หรือคําสั่งให้เพิกถอนมติของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ที่ให้ผู้ฟ้องคดีพ้นจากตําแหน่งอธิการบดีฯ พร้อมทั้งขอให้เพิกถอนมติของผู้ถูกฟ้องคดีที่2 ที่แต่งตั้งรองศาสตราจารย์ ฤกษ์ชัย ฟูประทีปศิริ เป็นผู้รักษาราชการแทนอธิการบดีฯ อีกทั้ง ให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามชดใช้ค่าสินไหมทดแทน เป็นจํานวน 8,160,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่ผู้ฟ้องคดี
คดีนี้จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับ การที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐออกคําสั่งทางปกครองโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และการกระทําละเมิดอันเกิดจากคําสั่งทางปกครอง ซึ่งอยู่ในอํานาจพิจารณาพิพากษา ของศาลปกครองตามมาตรา 9 วรรคหนึ่ง (1) และ (3) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครอง และวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542
ศาลปกครองชั้นต้นพิจารณาแล้วมีคําสั่งไม่รับ คําฟ้องของผู้ฟ้องคดีในข้อหาที่ฟ้องขอให้เพิกถอนคําสั่งผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ที่แต่งตั้งรองศาสตราจารย์ ฤกษ์ชัยฯ เป็นผู้รักษาราชการ แทนอธิการบดีฯ ไว้พิจารณา
ผู้ฟ้องคดีอุทธรณ์คําสั่งดังกล่าว
คดีจึงมีประเด็นที่ต้องพิจารณา ในชั้นอุทธรณ์คําสั่งว่า ศาลมีอํานาจรับคําฟ้องของผู้ฟ้องคดีที่ฟ้องขอเพิกถอนคําสั่งของ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ที่แต่งตั้งรองศาสตราจารย์ ฤกษ์ชัยฯ เป็นผู้รักษาราชการแทนอธิการบดีไว้พิจารณา ได้หรือไม่
โดยที่คําฟ้องในข้อหาที่ผู้ฟ้องคดีฟ้องขอให้เพิกถอนคําสั่งผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ที่แต่งตั้งรองศาสตราจารย์ ฤกษ์ชัย ฟูประทีปศิริ เป็นผู้รักษาราชการแทนอธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออกเป็น คดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทําการโดยไม่ชอบ ด้วยกฎหมายตามมาตรา 9 วรรคหนึ่ง (3) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและ วิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 ซึ่งผู้ฟ้องคดีจะมีสิทธิฟ้องคดีในข้อหานี้ได้นั้นต้องเป็น ผู้ได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหาย โดยมิอาจหลีกเลี่ยงได้อันเนื่องมาจากการมีคําสั่งดังกล่าว ตามมาตรา 42 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน
การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ได้มีคําสั่ง ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 แต่งตั้งรองศาสตราจารย์ ฤกษ์ชัยฯ เป็นผู้รักษาราชการแทนอธิการบดีฯ นั้น เป็นการแต่งตั้งผู้รักษาราชการแทน อธิการบดีฯ อันเนื่องมาจากการที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 มีมติและคําสั่งให้ผู้ฟ้องคดีพ้นจาก ตําแหน่งอธิการบดีฯ เพราะเหตุบกพร่องต่อหน้าที่ มีความประพฤติเสื่อมเสียและมีเหตุ อันควรเชื่อได้ว่า กระทําการอันก่อให้เกิดความเสียหายต่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3
ประกอบกับ เป็นกรณีที่ไม่มีรองอธิการบดีฯ เป็นผู้รักษาราชการแทน เพราะรองอธิการบดีฯ ต้องพ้นจาก ตําแหน่งด้วยตามมาตรา 25 วรรคสาม (6) และวรรคหก แห่งพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัย เทคโนโลยีราชมงคล พ.ศ. 2548 ซึ่งกรณีเช่นว่านี้ย่อมเป็นอํานาจหน้าที่ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ที่จะใช้ดุลพินิจดําเนินการพิจารณาแต่งตั้งบุคคลผู้มีคุณสมบัติตามที่กฎหมายกําหนดให้เป็น ผู้รักษาราชการแทนอธิการบดีฯ ตามมาตรา 28 แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน อันเป็นเรื่อง ของการบริหารงานบุคคลภายในที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 สามารถกระทําการได้ตามความเหมาะสม เพื่อให้การบริหารจัดการของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออกมีการดําเนินการ อย่างต่อเนื่อง
หากแม้ว่ารองศาสตราจารย์ ฤกษ์ชัยฯ จะไม่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้รักษาราชการ แทนอธิการบดีฯ ก็ตาม ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ก็ต้องพิจารณาแต่งตั้งบุคคลอื่นเป็นผู้รักษาราชการ แทนอธิการบดีฯ ตามที่กฎหมายกําหนดเช่นเดียวกัน
ประกอบกับความเดือดร้อนหรือเสียหาย ของผู้ฟ้องคดีอันเป็นเหตุแห่งการฟ้องคดีนี้ มิใช่เหตุจากคําสั่งแต่งตั้งรองศาสตราจารย์ ฤกษ์ชัยฯ เป็นผู้รักษาราชการแทนอธิการบดีฯ แต่เป็นเหตุอันเกิดจากคําสั่งผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ที่ให้ผู้ฟ้องคดีพ้นจากตําแหน่งอธิการบดีฯ
ดังนั้น ผู้ฟ้องคดี จึงมิใช่ผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหายหรืออาจจะเดือดร้อนหรือเสียหายโดยมิอาจหลีกเลี่ยงได้โดยตรงจากผลของคําสั่งผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2
ผู้ฟ้องคดีจึงไม่มีสิทธินําคําฟ้องในข้อหานี้มาฟ้องต่อศาลปกครองได้
ทั้งนี้ ตามนัย มาตรา 42 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 คําร้องอุทธรณ์คําสั่งของผู้ฟ้องคดีในข้อหานี้ฟังไม่ขึ้น
การที่ศาลปกครองชั้นต้นมีคําสั่งไม่รับคําฟ้องในข้อหาที่ผู้ฟ้องคดีฟ้องว่า คําสั่งผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ที่แต่งตั้ง รองศาสตราจารย์ ฤกษ์ชัย ฟูประทีปศิริ เป็นผู้รักษาราชการแทนอธิการบดีมหาวิทยาลัย เทคโนโลยีราชมงคลตะวันออกไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไว้พิจารณา นั้น
ศาลปกครองสูงสุด เห็นพ้องด้วย
จึงมีคําสั่งยืนตามคําสั่งของศาลปกครองชั้นต้น.
#กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage