- Home
- Thaireform
- ข่าวเด่น นโยบายสาธารณะ
- “รศ.วุฒิสาร” ค้นคำตอบแก้เหลื่อมล้ำ เร่งกระจายอำนาจตัดสินใจลงไปที่ท้องถิ่น
“รศ.วุฒิสาร” ค้นคำตอบแก้เหลื่อมล้ำ เร่งกระจายอำนาจตัดสินใจลงไปที่ท้องถิ่น
รองเลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า ชี้แก้ความเหลื่อมล้ำ คำตอบอยู่ที่ข้างล่าง ให้อำนาจแก้ปัญหาไปไว้ใกล้ปัญหา เชื่อ อปท.มีความรับผิดชอบพอ ขณะที่ นายกเทศมนตรีนครยะลา ชี้ผู้นำแบบ ซุปเปอร์แมน มักละเลยประชาชน
วันที่ 1 มีนาคม คณะกรรมการเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชนแห่งชาติ คณะกรรมการองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อการปฏิรูป สมาคมองค์การบริหารส่วนจังหวัดแห่งประเทศไทย สมาคมสันนิบาตแห่งประเทศไทย และสมาคมองค์การบริหารส่วนตำบลแห่งประเทศไทย และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมจัดเวที "ฟื้นพลังชุมชนท้องถิ่นสู่การอภิวัฒน์ประเทศไทย" ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุม ไบเทค บางนา กรุงเทพฯ
ช่วงการอภิปรายหัวข้อ “สร้างความเป็นธรรม ลดความเหลื่อมล้ำด้วยชุมชนท้องถิ่นได้อย่างไร” รศ.วุฒิสาร ตันไชย รองเลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า กล่าวถึงความเหลื่อมล้ำว่า เป็นปัญหา ทั้งในเชิงข้อเท็จจริงและความรู้สึก ซึ่งการแก้ปัญหาดังกล่าวนั้นจะต้องเอาพื้นที่เป็นตัวตั้ง โดยให้พื้นที่แก้ไขปัญหาด้วยตนเอง ปัจจุบันพบว่า ต้นทุนทางสังคมและความรู้ ส่งผลให้การแก้ปัญหาเชิงพื้นที่พัฒนาไปไกลยิ่งขึ้น ต่างจากเมื่อ 10 ปีก่อนที่การกระจายอำนาจถูกพูดถึงในลักษณะการต่อสู้ทางอำนาจระหว่างรัฐกับท้องถิ่น และประเด็นเรื่องความพร้อมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ในการทำหน้าที่ดูแลประชาชน
รองเลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า กล่าวต่อว่า หัวใจสำคัญของการลดความเหลื่อมล้ำคือ การกระจายอำนาจ โดยเฉพาะการกระจายอำนาจตัดสินใจ โดยยึดหลักว่า อำนาจในการแก้ปัญหา ต้องอยู่ใกล้ชิดกับปัญหามากที่สุด ขณะเดียวกัน ต้องมีการถอดกฎระเบียบที่เข็มงวดและเป็นอุปสรรคต่อการจัดการนวัตกรรมเชิงท้องถิ่น เพื่อให้ อปท. มีแนวทางแก้ปัญหาของตนเอง สร้างความรู้สึกเป็นเจ้าของและสร้างธรรมาภิบาลจากการมีส่วนร่วมของประชาชน
“ขณะนี้ท้องถิ่นมีพื้นที่เป็นเครื่องมือ มีภาคประชาสังคม เป็นผู้เล่นที่มีความเข้มแข็ง รวมทั้งยังมีองค์ความรู้และผู้เล่นกึ่งรัฐกึ่งท้องถิ่น อย่าง อปท. ซึ่งเป็นองค์กรตามกฎหมายที่มีความได้เปรียบมากกว่าราชการ ทำให้ อปท.ทำงานได้หลากหลายมากกว่า” รศ.วุฒิสาร กล่าว และว่า การกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นจะต้องดำเนินการทั้งในระดับชุมชนท้องถิ่นและ อปท. ซึ่งปัจจุบันนับว่าเป็นไปในทิศทางเดียวกัน แต่ยังมีข้อสังเกตว่า องค์กรทั้ง 2 แห่งอาจยังไม่รู้สึกเป็นเนื้อเดียวกัน มีการแย่งชิงบทบาทระหว่างกันและกัน โดยจากประสบการณ์พบว่า การจะให้องค์กรดังกล่าวทำงานร่วมกันได้ อปท.จะต้องเปิดโอกาสให้ชุมชนท้องถิ่นเข้ามามีพื้นที่ร่วมกันมากขึ้น
รศ.วุฒิสาร กล่าวว่า อปท. เป็นองค์กรที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม เพราะเชื่อว่า คงไม่มีใครคิดโกงเงินค่าอาหารกลางวันเด็ก ซึ่งเป็นลูกหลานของตนเองแน่นอน ขณะเดียวกันยังเป็นองค์กรที่มีความรับผิดชอบทางการเมือง เห็นได้จาก การดำเนินการแก้ปัญหาให้กับประชาชนอย่างรวดเร็ว จนในบางครั้งดูแล อุ้มประชาชนมากเกินไป กระทั่งทำให้ภาคประชาชนอ่อนแอ
“ที่ผ่านมา อปท. เข้าไปดูแลประชาชนในเรื่องที่ไม่จำเป็น ดังนั้น จะต้องปล่อยให้เรื่องง่ายๆ อยู่ในควบคุมดูแลโดยภาคประชาชน อาสาสมัคร ขณะที่ อปท. หันไปเป็นผู้สนับสนุนและดูแลในเรื่องที่ยากขึ้น เช่น แก้ปัญหาเชิงโครงสร้างด้านที่ดิน เศรษฐกิจ ฯ รวมทั้งปรับเปลี่ยนบทบาทจากผู้ให้บริการ เป็นผู้เอื้ออำนวยมากขึ้น ขณะเดียวกัน ต้องมีการ "รื้อ" ระบบที่ไม่จำเป็น เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจด้านโครงสร้างทางภาษี เพื่อแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ
ขณะที่นายพงษ์ศักดิ์ ยิ่งชนม์เจริญ นายกเทศมนตรีนครยะลา กล่าวถึงการบริหารจัดการท้องถิ่น ในทัศนคติของผู้นำมีความสำคัญมาก เนื่องจากหากผู้นำมองว่า ตนเองเป็นซุปเปอร์แมน ก็จะละเลยเรื่องการเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม ซึ่งต่างอย่างสิ้นเชิงกับผู้ที่มองว่าประชาชนเป็นผู้มอบอำนาจให้ เพราะผู้นำจะทำหน้าที่เป็นเพียงผู้อำนวยความสะดวก และจะนำอำนาจทั้งหมดคืนสู่ประชาชน
" ผู้นำจะต้องกล้าเปิดเผยความจริงให้กับประชาชนได้รับรู้ เพราะการทำงานที่เปิดเผย ไม่หมกเม็ดจะทำให้การดำเนินงานสะดวกสบาย อีกทั้งยังเป็นการสร้างความเข้าใจให้กับประชาชน ทำให้คนรุ่นใหม่เชื่อมั่นในท้องถิ่นและรับรู้ถึงรู้สิทธิ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะสามารถแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำได้"
ส่วนนายสนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม กรรมการผู้อำนวยการ สำนักข่าวทีนิวส์ กล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงของโลก ได้ทำให้ปัจจัยพื้นฐานหลายอย่างเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ดังนั้นอปท. ท้องถิ่น อย่าจมอยู่กับองค์ความรู้ มิเช่นนั้นจะถูกโลกพลิกคว่ำ โดยเฉพาะต้องทำให้ข้อมูลระดับชุมชนท้องถิ่น ตำบล อบต. เชื่อมโยงกัน ด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่เช่น การทำ เฟชบุค อปท. เพื่อเชื่อมโยงกัน แล้วใส่ข้อมูลสาธารณะเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ ร่วมกัน แพร่ให้เป็นโรคระบาดของ 'ปัญญา'