- Home
- Thaireform
- ข่าวเด่น นโยบายสาธารณะ
- ‘ปริญญา’ หนุนร่าง รธน. ฉบับใหม่ คลายปมขัดแย้งการเมือง
‘ปริญญา’ หนุนร่าง รธน. ฉบับใหม่ คลายปมขัดแย้งการเมือง
แนะใช้วิถีประชาธิปไตยลดขัดแย้งในสังคม ด้าน ‘พงศ์เทพ’ เห็นพ้องแก้ ม. 309 พร้อมเสนอลด 10 เขตเลือกตั้งหากมีสภาปฏิรูปฯ ‘พิชาย’ เผยพรรคการเมืองสถาปนาระบบสืบทอดแบบ ‘เจ้าเมือง’
วันที่ 23 กุมภาพันธ์ สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ร่วมกับศูนย์ศึกษาและพัฒนาสันติวิธี มหาวิทยาลัยมหิดล และสภาพัฒนาการเมือง จัดเวทีราชดำเนินสวนา “ทางออกจากวิกฤตการเมือง : สู่การเมืองและสังคมสันติสุข” ณ ห้องประชุมอิศรา อมันตกุล สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย
นายสุนัย เศรษฐ์บุญสร้าง นักวิชาการอิสระ กล่าวว่า ความไม่มีเสถียรภาพของระบบสังคมการเมืองไทยที่มีสาเหตุหลักมาจากปัญหาเชิง โครงสร้าง โดยเฉพาะในระดับโครงสร้างส่วนลึก ซึ่งไม่ได้เกิดจากการพัฒนา “ธรรมวิทยาแห่งพลเมือง” หรือ “ศาสนาพลเมือง” (civic religion) ที่เหมาะสมกับรากฐานทางศาสนาและวัฒนธรรมของสังคมไทย เนื่องจากแนวคิดประชาธิปไตยมีที่มาจากรากเหง้าแนวคิดจากสิทธิเสรีภาพ ในขณะที่สังคมไทยไม่เข้าใจความหมายส่วนลึกในเรื่องของหน้าที่ความรับผิดชอบ ทำให้เกิดความเข้าใจแตกแยกรากฐานสังคมไทย เกิดการแบ่งฝักฝ่ายระหว่าง “ประชาธิปไตยที่มีคุณภาพ” และ “ประชาธิปไตยที่มีคุณธรรม”
“รากฐานทางศาสนาที่แตกต่างกันออกไปนั้นระหว่างตะวันตกกับประเทศไทย ทำให้สังคมไม่เข้าใจหน่วยงานที่มีพลังอย่างคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) เมื่อไม่เกิดความเชื่อมโยงกับแนวคิดดังกล่าว ทำให้คนไทยส่วนใหญ่เข้าใจสิทธิเสรีภาพ เพียงแค่เป็นสิทธิที่จะทำอะไรก็ได้ตราบที่ไม่ละเมิดสิทธิผู้อื่นจนผิดกฏหมาย นั่นคือสิ่งที่ทำให้คนเห็นแก่ตัว รูปแบบการเมืองจึงไม่เกิดคุณธรรม”
ด้านปัญหาในเชิงโครงสร้างของการเมืองไทย นายสุนัย กล่าวว่า คณะกรรมการที่รัฐบาลแต่งตั้งตามแผนปรองดรองแห่งชาติทั้ง 5 ชุด ซึ่งใช้งบประมาณไปถึง 600 กว่าล้านบาท แม้จะประกอบไปด้วยบุคคลที่มีชื่อเสียง และเป็นที่ยอมรับในฐานะคนกลาง แต่ก็ไม่สามารถเข้ามาแก้ไขปัญหาได้จริง เนื่องจากการแต่งตั้งเกิดขึ้นภายหลังการใช้กำลังทหาร และอาวุธสงครามเข้าสลายการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง ย่อมทำให้ผู้คนอีกฝ่ายหนึ่งหวาดระแวงถึงความเป็นกลางของคณะกรรมการทั้ง 5 ชุด
นายสุนัย กล่าวต่อไปว่า ในเบื้องต้นต้องเร่งแก้ไขรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 ในมาตรา 291 เพื่อเปิดช่องทางในการจัดตั้ง “สภาปฏิรูประบบสังคมการเมืองไทย” ที่มาจากการเลือกตั้งโดยประชาชน เพื่อทำหน้าที่เป็นคนกลางในการรับฟังข้อเสนอจากคนไทยทุกฝ่าย เพื่อยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ พร้อมทั้งเปิดให้ลงประชามติเห็นชอบจากประชาชน เพื่อเป็นกรอบในการปฏิรูประบบสังคมการเมืองต่อไป
“โครงสร้างสมาชิกสภาปฏิรูปฯอาจมีจำนวน 200 คนที่มาจากการแบ่งกลุ่มจังหวัดต่างๆ เป็น 20 เขตเลือดตั้ง เพื่อลดอิทธิพลที่จะเข้ามาครอบงำในการเลือกตั้งของนักการเมือง โดยแบ่งเป็นเขตละ 10 คน แยกเป็นบัญชีรายชื่อแบบบุคคลที่มีภูมิลำเนาหรือทำงานในเขตเลือกตั้ง และบัญชีผู้สมัครประเภทผู้ทรงคุณวุฒิ ซึ่งอาจให้หน่วยงานองค์กรที่ทำงานเพื่อสาธารณะประโยชน์มากกว่าธุรกิจทำ หน้าที่ในกระบวนการสรรหา”
นายสุนัย กล่าวอีกว่า นอกจากสมาชิกสภาปฏิรูปฯ จะทำหน้าที่ยกร่างรัฐธรรมนูญแล้วนั้น ต้องศึกษาวิจัยถึงแนวทางปฏิบัติต่างๆ เพื่อสร้างตัวชี้วัดการทำงานของพรรคการเมือง ทั้งนี้ต้องประกาศให้ประชาชนรับรู้รับทราบอย่างต่อเนื่อง เพื่อคอยกำกับการทำงานของนักการเมืองอีกทางหนึ่ง ขณะเดียวกันต้องเข้าไปสนับสนุนให้เกิดโครงการนำร่องตามแนวนโยบายของรัฐที่ เป็นการแก้ไขปัญหาระยะยาว เพื่อให้ปรากฏผลเป็นรูปธรรม อันจะทำให้นักการเมืองเกิดความสนใจที่จะนำสิ่งเหล่านี้ไปขยายเป็นผลงานของตน ต่อไป
“ทั้งนี้ต้องสนับสนุนการสร้างกระบวนการเรียนรู้สำหรับประชาชนในการแก้ ปัญหาตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อนำไปสู่การปลูกฝังธรรมวิทยาแห่งพลเมือง เพื่อให้เกิดความร่วมมือร่วมใจของประชาชนในการสร้างวัฒนธรรมของประชาธิปไตย ขั้นพื้นฐาน”
"10 เขตเลือกตั้ง" แก้ปัญหานักการเมืองจับมือกัน
ด้านนายพงศ์เทพ เทพกาญจนา อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า หลังเหตุการณ์ปฏิวัติ 19 กันยายน พ.ศ.2549 ไม่สามารถกล่าวอ้างได้ว่าเป็นระบบที่มีคุณธรรมแต่ไม่เป็น ประชาธิปไตย เพราะยังมีกระแสวิพากษ์วิจารณ์ที่กล่าวอ้างว่ามีการทุจริต ซื้อขายตำแหน่งที่อยู่ในสถานการณ์ค่อนข้างจะเลวร้ายกว่าเก่า ขณะเดียวกันก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่มองการยกร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 ซึ่งมีโครงสร้างมาจากการไม่เชื่อถือไม่ไว้วางใจประชาชน ทำให้เกิดปัญหามากมายโดยเฉพาะมาตรา 309 ที่ปกป้องคำสั่งของ คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ฉะนั้นการที่ยกร่างทั้งฉบับไม่ว่าจะเป็นการมอบหน้าที่ให้แก่รัฐสภาทำหน้าที่ หรือสรรหานักวิชาการเข้ามาเหมือนในอดีต อาจส่งผลให้ประชาชนไม่เชื่อถือในกลุ่มคนเหล่านั้น เนื่องจากมีช่องว่างมากมายที่จะทำให้นักการเมืองเข้าไปแทรกแซงได้
“ในอดีตนักวิชาการมามีบทบาทเยอะ แต่เห็นชัดที่สุดคือเกิดจุดอัปยศในรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 และนักวิชาการที่พยายามปกป้องเนื้อหาบางส่วนมาโดยตลอด นั่นคือมาตรา 309 ที่ทำลายความเป็นกฏหมายสูงสุดของรัฐธรรมนูญ ดังนั้นจึงเกิดความกังวลว่า พรรคการเมืองจะพยายามเข้าไปมีบทบาทในกระบวนการสรรหาเพื่อสร้างเครือข่ายของ ตนอยู่ในสภาร่างฯอีกหรือไม่”
นายพงศ์เทพ กล่าวอีกว่า แนวทางการจัดตั้ง “สภาปฏิรูประบบสังคมการเมืองไทย” นั้นมีประโยชน์ต่อสังคมไทย หากจัดวิธีการเลือกตั้งให้ดี จะได้รับความหลากหลายของนักการเมือง แต่ในจำนวนประชาชน 64 ล้านคนนั้น หากแบ่งเป็น 20 เขต จะเฉลี่ยประชากรได้เพียงเขตละ 3 ล้านกว่าคน ดังนั้นควรแบ่งเขตการเลือกตั้งเหลือเพียง 10 เขต ซึ่งจะทำให้แต่ละเขตนั้นครอบคลุมไปด้วยหลายจังหวัดมากขึ้น พร้อมนั้นให้ประชาชนมีสิทธิ์เลือกตั้งในเขตได้ไม่เกิน 5 คนหรือน้อยกว่านั้น เพื่อป้องกันการจับมือกันของผู้สมัครต่างๆ ทั้งนี้สมาชิกปฏิรูปฯ ควรมีหน้าที่ในการร่างรัฐธรรมนูญเพียงอย่างเดียวไม่ต้องทำหน้าที่อื่น โดยในแรกเริ่มต้องรับฟังความคิดเห็นของรัฐสภา เพื่อหาจุดติติงในมุมมองของฝ่ายการเมือง แต่การแก้ไขหรือไม่นั้นก็ยังเป็นอำนาจเด็ดขาดของตนเองอยู่ หลังจากนั้นจึงเสนอไปทำประชามติ เพื่อสร้างการยอมรับในระดับสังคมต่อไป
สถาปนาระบบการเมืองแบบ ‘เจ้าเมือง’
ขณะที่ ผศ.ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต ผู้อำนวยการโครงการปริญญาโท คณะพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) กล่าวว่า ปมความขัดแย้งทางการเมืองไทย มีด้วยกัน 2 ระดับ คือ ระดับการเมืองภายในพรรคการเมือง (Party politic) และระดับการเมืองในเชิงสังคม (Social politic) ซึ่งความขัดแย้งระดับการเมืองภายในพรรคการเมืองนั้น คู่ขัดแย้งหลักคือ นักการเมืองกับชนชั้นกลางและชนชั้นสูง ซึ่งปมปัญหาหนึ่งคือ ความชอบธรรมในการได้มาซึ่งอำนาจ เนื่องจากระบบเลือกตั้งไม่บริสุทธิ์เที่ยงธรรม อีกทั้งไม่สะท้อนเจตนารมณ์ที่แท้จริงของประชาชน แต่กลับเป็นการเลือกตั้งที่กุมสภาพทางความคิด โดยใช้การซื้อเสียงและอุปถัมภ์เป็นหลัก ในที่สุด ประเทศไทยจึงเกิดวิกฤตการณ์เลือกตั้งและการได้มีซึ่งอำนาจ ตั้งแต่ปี พ.ศ.2531 กระทั่งปัจจุบัน
“อีกประการหนึ่ง นักการเมืองที่เป็นตัวแทน จำกัดเฉพาะแวดวงนายทุน ไม่ปรากฏตัวแทนจากคนกลุ่มอื่น อาทิ ผู้พิการ กลุ่มสตรี กลุ่มชาติพันธุ์ ฯลฯ กระทั่งกลายเป็นวิกฤตตัวแทน ประการสำคัญ พรรคการเมืองมีการสถาปนาระบบการเมืองแบบ ‘เจ้าเมือง’ แห่งยุคโลกาภิวัฒน์ กล่าวคือ พ่อเป็นนักการเมือง ต่อไปก็ลูก ภรรยา ญาติพี่น้อง เหมือนกันเจ้าเมืองสมัยอดีต”
ส่วนระดับการเมืองในเชิงสังคม (Social politic) ผศ.ดร.พิชาย กล่าวว่า แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มคือ กลุ่มประชาธิปไตยใหม่ และกลุ่มความคิดประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข โดยกลุ่มประชาธิปไตยใหม่ มองว่า สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นอุปสรรคต่อระบอบประชาธิปไตย ทางกลุ่มจึงกำหนดยุทธศาสตร์และวิธีการเคลื่อนไหวเพื่อปรับลดบทบาทสถาบันพระ มหากษัตริย์ให้กลายเป็นสถาบันแบบสามัญ รวมทั้งมีการเคลื่อนไหวปล่อยข่าวลือ เพื่อทำลายความน่าเชื่อถือของสถาบันพระมหากษัตริย์
ผศ.ดร.พิชาย กล่าวถึงข้อเสนอในการปฏิรูปว่า ควรแก้ไขให้การได้อำนาจเป็นไปอย่างชอบธรรม โดยมีระบบการเลือกตั้งทางเลือกเพิ่มขึ้น จากแบบเขตเลือกตั้ง แบบบัญชีรายชื่อขยายฐานออกไป ให้ตัวแทนของประชาชนเข้ามามีบทบาทมากขึ้น นอกจากนี้ ควรจัดตั้งกลไกเชิงสถาบัน เพื่อขจัดความขัดแย้งที่เกิดจากการใช้อำนาจบริหาร สร้างกลไกตรวจสอบภาคประชาชน โดยให้ประชาชนสามารถฟ้องนักการเมืองที่ทุจริตเลือกตั้งต่อศาลฎีกาแผนกคดี อาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้โดยตรง เพื่อให้การตรวจสอบภาคประชาชนดำเนินการได้อย่างเข้มข้น
ร่าง รธน.ฉบับใหม่ แก้ปัญหาคิดต่าง
ส่วนผศ.ดร.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล รองอธิการบดีฝ่ายกิจการนักศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่ามีความเห็นสอดคล้องกับทางออกในการสร้างวัฒนธรรมพลเมือง การร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่แก้ปัญหาความเห็นต่างทางการเมือง และการใช้วิถีประชาในการแก้ปัญหา แต่โดยรวมเห็นว่าเอกสารมีการลงรายละเอียดค่อนข้างมาก ซึ่งอาจมีผลให้เกิดการถกเถียงกันในหลายฝ่ายได้
ผศ.ดร.ปริญญา กล่าวต่อว่า การเมืองในปัจจุบันกำลังอยู่ในวงจรความรุนแรงที่แม้เหตุการณ์ปฏิวัติ รัฐประหารและการนองเลือดจะจบลงแล้ว แต่เป็นเพียงการจบแบบชั่วคราว เพราะยังไม่ได้แก้ปัญหาอย่างแท้จริง หากลองวิเคราะห์ปัญหาในส่วนของรากฐาน ที่เป็นวัฒนธรรม เป็นพลังของสังคม จะพบว่าประเทศไทยยังขาดการสร้าง ศาสนาพลเมือง ทำให้ระบบสังคมการเมืองไทยไม่มีเสถียรภาพ เนื่องจากที่ผ่านมาการเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นระบอบประชาธิปไตย ไม่ได้แก้จากฐานราก
“การไม่ได้เปลี่ยนแปลงจากฐานรากทำให้ระบอบการปกครองพัง คนคำนึงถึงแต่สิทธิเสรีภาพ โดยไม่รับเอาความรับผิดชอบมาด้วย เมื่อไม่คำนึงถึงผู้อื่นก็จะเกิดความขัดแย้ง จึงเห็นด้วยอย่างเต็มที่ในการสร้าง ‘วัฒนธรรมพลเมือง’ ที่เป็นประเด็นสำคัญในการตอบโจทย์ปัญหา โดยใช้การศึกษาเพื่อสร้างพลเมือง ศึกษาบทเรียนจากอเมริกา และเยอรมันที่ผ่านพ้นปัญหามาได้ด้วยการสร้างศาสนาพลเมือง”
ผศ.ดร.ปริญญา กล่าวต่อว่า สำหรับข้อเสนอในการร่างกฎหมายฉบับใหม่เป็นเรื่องที่เห็นด้วย เพราะจะสามารถแก้ปัญหาความเห็นต่างด้านข้อเสนอในรัฐธรรมนูญจากหลายสี หลายฝ่าย ทั้งนี้แผนการทำงานของคณะกรรมการปรองดองทั้ง 5 ชุดที่รัฐบาลตั้งขึ้นท่ามกลางความขัดแย้ง ก็ไม่เป็นที่ยอมรับจากฝ่ายต่างๆ และชี้ให้เห็นว่าไม่มีกำลังเพียงพอที่จะนำไปสู่การคลี่คลายปัญหาได้ จึงเสนอให้ใช้วิถีทางประชาธิปไตยที่ทุกคนเสมอภาค และเคารพสิทธิของระบอบประชาธิปไตย เพื่อแก้ไขปัญหาความขัดแย้งของสังคมไทย เพราะถ้าใช้แนวทางอื่นจะทำให้สถานการณ์หนักไปกว่าเดิม