- Home
- Thaireform
- ในกระแส
- อจ.เศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ คาด 5 ปีเห็นผลชัดธนาคารลูกจ้าง
อจ.เศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ คาด 5 ปีเห็นผลชัดธนาคารลูกจ้าง
“ณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ” เผยหลังเปิดทดลองธนาคารลูกจ้างตั้งแต่เดือนธ.ค.ที่ผ่านมาในพื้นที่จ.ปราจีนบุรีสามารถหมุนเงินในระบบได้โดยไม่ต้องพึ่งเงินทุนภายนอก จากทุนจัดตั้งเพียง 1 ล้าน มีเงินในระบบ 3 ล้านบาทแล้ว
รศ.ดร.ณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ ประธานคณะทำงานการกระจายรายได้ สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสมาชิกเครือข่ายสถาบันทางปัญญา เจ้าของแนวคิดธนาคารลูกจ้างเพื่อผู้ใช้แรงงาน กล่าวถึงความคืบหน้าการจัดตั้งธนาคารลูกจ้างว่า ขณะนี้ได้เริ่มเปิดทดลองแล้ว ตั้งแต่เดือนธ.ค.ที่ผ่านมาในพื้นที่จ.ปราจีนบุรี พบว่า สามารถหมุนเงินในระบบได้โดยไม่ต้องพึ่งเงินทุนภายนอก โดยมีเงินในระบบประมาณ 3 ล้านบาทแล้ว คาดว่าภายในระยะเวลา 5 ปีจะเห็นผลชัดเจน
“เดิมมีทุนการจัดตั้งเพียง 1 ล้านบาท ต่อมาได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานต่างๆ อีก 4 ล้านบาท ขณะนี้ใช้เพียงส่วนแรกเท่านั้น ซึ่งเป็นเงินทุนจากสมาชิกกลุ่มออมทรัพย์ 47 กลุ่ม สมาชิกทยอยนำเงินมาฝากแล้วแต่ยังไม่มีการปล่อยกู้”
สำหรับกิจกรรมหลักสร้างอาชีพเสริมรายได้ให้คนงาน รศ.ดร.ณรงค์ กล่าวว่า คือ การขายบัตรเติมเงิน เช่น บัตรเติมเงินใบละ 100 บาท ต่างจังหวัดราคาขายคือ 105 บาท แต่ธนาคารลูกจ้างสามารถซื้อมาในราคา 97บาทขายสมาชิก 98 บาท 1 บาทเข้าธนาคารลูกจ้าง แล้วให้สมาชิกไปขาย 102-103 บาท สมาชิกมีกำไร 3-4 บาท รวมทั้งการขายผ่านออนไลน์ ตรงนี้ทำให้ธนาคารลูกจ้างมีกำไร 200,000 บาท นอกจากนี้ยังมีการขายไข่และสินค้าอุปโภคบริโภคสร้างอาชีพเสริม โดยมีจุดเชื่อมต่อให้คนงานไปเจรจากับนายจ้างในโรงงานรับสินค้าออกมาจำหน่าย จากนั้นมากู้เงินจากธนาคารลูกจ้างนี้ไปลงทุน วิธีการจะไม่ปล่อยกู้เป็นเงินสดให้คนงาน เช่น ถ้าต้องการขายไข่จะกู้ 50,000 บาท ธนาคารก็จะออกทุนเป็นไข่ให้รอบละ 10,000 บาทพร้อมทั้งหาตลาด เมื่อขายไข่ได้ทุก 10 วันผู้กู้ก็จะต้องคืนเงินธนาคารจนครบ
อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวถึงหลักการและแนวคิดการจัดตั้งธนาคารลูกจ้าง ว่า มีลักษณะผสมผสาน เป็นธนาคารของกลุ่มออมทรัพย์หรือธนาคารของสหกรณ์ (Cooperative Bank) ธนาคารอิสลาม (Islamic Bank) และธนาคารยูนุส (Yunus Bank) “กลุ่มออมทรัพย์คล้ายสหกรณ์ เพียงแต่เป็นสหกรณ์ที่มีการนำมาจดทะเบียน วิธีการ คือ สมาชิกผู้ใช้แรงงานนำเงินมาฝากธนาคารลูกจ้างจะได้ดอกเบี้ยร้อยละ 1 บาท หากนำเงินไปฝากธนาคารพาณิชย์จะได้ร้อยละ 0.5 บาท และจะถอนเมื่อใดก็ได้ ถ้าสมาชิกฝาก 1 แสนบาทแต่อยากถอน 2 แสนบาท 1 แสนบาทแรกก็สามารถถอนไปได้ส่วนอีก 1 แสนบาทก็กลายเป็นเงินกู้ซึ่งมีสิทธิจะกู้ไปประกอบอาชีพได้”
เมื่อถามถึงการจัดระบบสวัสดิการสังคม รศ.ดร.ณรงค์ กล่าวว่า หากพูดถึงระบบสวัสดิการคนมักเข้าใจว่าเป็นสิ่งที่รัฐจัดให้ซึ่งก็ไม่ผิด แต่สวัสดิการที่รัฐจัดให้อย่างถ้วนหน้าต้องใช้เงินจำนวนมากจากการเก็บภาษีที่สูงมากเช่นกัน ขณะที่สังคมไทยยังไม่พร้อมจะแบกรับภาษีตรงนี้ แค่แนวคิดการจัดเก็บภาษีที่ดิน ออกมาสมาชิกสภาผู้แทนราษฏรก็ยกมือค้านกันแล้ว สู้มากว่า 20 ปีไม่สำเร็จในเรื่องภาษีที่ดิน ภาษีมรดก
"ถ้าสังคมไทยไม่พร้อมจะแบกรับภาษีก็อย่าไปคิดถึงการสร้างรัฐสวัสดิการ โดยยังมีทางเลือกอยู่ถ้าอยากให้สังคมเกิดสวัสดิการทั่วไป ต้องสร้างสังคมสวัสดิการ โดยรูปแบบของการร่วมมือนั้นก็มีหลากหลายวิธี เช่น รวมกลุ่มออมทรัพย์แบบครูชบ ยอดแก้วแล้วมีการสมทบจากรัฐด้วย หรือการประกันสังคมจากความร่วมมือของรัฐ ธุรกิจ และประชาชน หรือให้รัฐออกเงินประชาชนออกแรง เป็นต้น ทั้งนี้ภาระของระบบสังคมสวัสดิการไม่ควรอยู่กับใครคนใดคนหนึ่ง”ประธานคณะทำงานการกระจายรายได้ กล่าว พร้อมยกตัวอย่างประเทศที่มีการจัดรัฐสวัสดิการถ้วนหน้าที่ดี เช่น สวีเดนมีการเก็บภาษีอัตราก้าวหน้า เฉลี่ย 30% แค่ภาษีบริโภคในเยอรมนี 18% และในสวีเดน 20% ซึ่งประเทศไทยเก็บเพียง 7% เท่านั้น
รศ.ดร.ณรงค์ กล่าวด้วยว่า สังคมสวัสดิการ (welfare society) นั้นต่างจากรัฐสวัสดิการ (Welfare state) คือ ทุกภาคส่วนของสังคมจับมือกัน ทั้งนักธุรกิจ ชุมชน และรัฐบาลร่วมช่วยกันจัดสวัสดิการให้กับทุกกลุ่มคนครอบคลุมทุกด้านแล้วภาระการจัดสวัสดิการก็จะไม่ตกที่รัฐบาลฝ่ายเดียว เช่น ในแคนาดา เนเธอร์แลนด์ และเยอรมนีที่มีการจัดสังคมสวัสดิการแล้ว แบบนี้จะเป็นไปได้มากกว่าเพราะไม่พึ่งสวัสดิการจากรัฐ