- Home
- Thaireform
- สารคดีเชิงข่าว
- มาบตาพุดปัญหาใหญ่ที่ยังไร้ทางออก
มาบตาพุดปัญหาใหญ่ที่ยังไร้ทางออก
นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จัดตั้งขึ้นตามนโยบายรัฐบาลเมื่อปี 2531 ในการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันออก เพื่อให้เป็นฐานการผลิตที่สำคัญของประเทศ สำหรับอุตสาหกรรมประเภทปิโตรเคมี เคมีภัณฑ์ เหล็ก โลหะ และโรงกลั่นน้ำมัน
แม้นิคมฯ จะทำรายได้ให้ประเทศถึง 5.5% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ หรือจีดีพี แต่เชิงพื้นที่ที่ขยายจาก 8,000 ไร่ เป็น 20,000 ไร่อย่างรวดเร็ว ทำให้ต้องประสบปัญหาการบริหารจัดการด้านสิ่งแวดล้อมและอาชีวอนามัย ทั้งเรื่องกลิ่นรบกวนจากโรงงานปิโตรเคมี โรงกลั่น ภัยแล้ง สุดท้ายมีการนำเรื่องเข้าสู่กระบวนการของศาล เพื่อต้องการให้ประกาศเป็นเขตควบคุมมลพิษ
เอ็นจีโอ ผู้ที่เรียกตัวเองว่า สุนัขเฝ้าบ้าน (Watchdog) นายศรีสุวรรณ จรรยา นายกสมาคมต่อต้านภาวะโลกร้อน นำชาวบ้านที่อาศัยอยู่นพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด และพื้นที่ใกล้เคียงจำนวน 43คน ยื่นฟ้องคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 8 แห่งต่อศาลปกครอง โดยขอให้ไต่สวนฉุกเฉินและมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว รวมทั้งขอให้มีการระงับโครงการ หรือกิจกรรมใดที่จะก่อสร้างในมาบตาพุด จนกระทั่งศาลปกครองสูงสุด สั่งบรรเทาทุกข์ชั่วคราวให้ระงับ 76 โครงการ เพื่อคุ้มครองชุมชนมาบตาพุด เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2552 ก่อนที่รัฐบาลยื่นอุทธรณ์ และศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งแก้คำสั่งของศาลปกครองขั้นต้นระงับ 65 โครงการไว้เป็นการชั่วคราวจนกว่าศาลจะมีคาพิพากษาหรือศาลมีคำสั่งเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น ให้ 11 โครงการดำเนินหน้าได้ เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2552
ฟ้องร้องไม่เกิด หากภาครัฐ-นักการเมืองไม่เพิกเฉย
นายศรีสุวรรณ ถอดบทเรียนให้เห็นว่า รัฐธรรมนูญ ซึ่งถือเป็นกฎหมายแม่บทของประเทศ ที่ต้องมีการปฏิบัติตาม แต่ที่ผ่านมามีความพยายามหลบเลี่ยง การฟ้องร้องไม่ควรจะเกิด หากหน่วยงานภาครัฐและนักการเมืองไม่เพิกเฉย เป็นระยะเวลาเกือบ 10 ปี ตั้งแต่ รธน.2540 ออกมา พยายามสอบถามหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องว่าได้ดำเนินการอะไรไปแล้วบ้างเพื่ออนุมัติกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับรธน.2540 ตามมาตรา 56 วรรค 2 ปรากฎว่า มีแค่กระบวนการไปจ้างคณะทรัพยากรธรรมชาติและทรัพยากรศาสตร์ ม.มหิดล ทำการศึกษาดูว่า องค์กรอิสระด้านสิ่งแวดล้อมน่าจะออกมาในรูปแบบใด ทำการศึกษามาแล้วก็ไม่ได้นำไปใช้ทำอะไรต่อจนมีการปฏิวัติ
“กระทั่งมีรธน. 2550 มาตรา 67 ไม่มีคำว่า ทั้งนี้ตามที่กฎหมายบัญญัติ การคุ้มครองสิทธิของประชาชนเกิดขึ้นทันที หลังถูกประกาศในราชกิจจานุเบกษา การขับเคลื่อนจึงดำเนินการต่อ” นายกสมาคมต่อต้านภาวะโลกร้อน เล่าที่ไปที่มาเพื่อให้เห็นว่า จู่ๆ ไม่ได้ลุกขึ้นมายื่นฟ้องภายใต้อารมณ์หรือความรู้สึกของตัวเอง ได้มีความพยายามทำหนังสือถึงหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องทุกหน่วยงาน ทั้งกระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงคมนาคม กระทรวงพลังงาน ว่า เนื่องจาก รธน.มีผลบังคับใช้โดยทันที ขอให้ท่านและหน่วยงาน ผู้ได้รับอนุญาตสั่งการให้ผู้ประกอบการดำเนินการให้ครบถ้วน
จากนั้น ได้ทำจดหมายไปอย่างน้อย 2 ฉบับ ในที่สุดมีคำสั่งจากนายศักดิ์สิทธิ์ ตรีเดช ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แต่งตั้งกรรมการขึ้นมา 2 ชุด เพื่อให้ไปยกร่างกฎหมายองค์การอิสระและสิ่งแวดล้อม ควรจะเป็นรูปแบบใด และบทบาทอำนาจหน้าที่ คณะกรรมการชุดนี้ประกอบด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องครบถ้วน มีการประชุมหลายครั้งจนได้ข้อยุติว่า ควรทำเป็นร่างพ.ร.บ.องค์การอิสระและสิ่งแวดล้อม เอ็นจีโอผู้นี้ คาดหวังว่าปลัดฯ จะนำเรื่องเข้าสู่คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครม. เข้าสู่สภา และประกาศใช้ในที่สุด แต่เมื่อมีจดหมายทวงถามถึงร่างกฎหมายขับเคลื่อนไปถึงไหน ปรากฎว่า ไม่มีหนังสือตอบกลับมา
“ ตอนแรกคิดจะฟ้องทั้งประเทศ คิดไปคิดมา เวลาขับเคลื่อนต้องมีเทคนิคจึงเจาะจงไปที่มาบตาพุด ที่มีการแพร่กระจายของมลพิษและมีแนวโน้มจะเป็นอันตราย ไปรวบรวมว่า มีโครงการ อยู่ในเขตมาบตาพุด บ้านฉาง และใกล้เคียง จ.ระยอง กี่โครงการ สรุปได้ 76 โครงการ จึงยื่นฟ้องเพื่อให้ศาลมีคำสั่งให้ 76 โครงการถอยมาก่อน เพื่อปฏิบัติตามมาตรา 67 วรรค 2 ให้ครบถ้วน”
"ศรีสุวรรณ"โทษกฤษฎีกาทำเรื่องยืดเยื้อ
ก่อนฟ้องแม้มั่นใจว่าชนะคดี แต่เมื่อเรื่องเข้าสู่กระบวนการไต่สวนของศาลปกครอง นายศรีสุวรรณ กลับคิดว่าไม่น่าจะชนะ ซึ่งคนที่ต้องกล่าวโทษมากที่สุด ถือเป็นชนวนการฟ้องร้องทำเรื่องนี้ให้ยืดเยื้อและช้าลงอีก ก็คือ คณะกรรมการกฤษฎีกา คณะที่ 1 และคณะที่ 5 ที่มีการทำผิดให้ความเห็น 3 หน่วยงาน ว่า ตราบใดที่ยังไม่มีกฎหมายลูกออกมารองรับ มาตร 67 วรรค 2 หน่วยงานราชการสามารถออกใบอนุญาตได้ กลายเป็นเหตุผลให้ 76 โครงการมาบตาพุด ยุ่งอีนุงตุงนัง
ขณะที่คำสั่งศาลปกครองกำหนดว่าโครงการหรือกิจกรรมที่ได้ใบอนุญาตก่อนรธน.ประกาศใช้ 24 สิงหาคม 2550 ได้ประโยชน์ ฐานะผู้ฟ้องคดี ยืนยันว่า ไม่มีโครงการใดในมาบตาพุดได้ใบอนุญาติก่อนนี้แน่นอน “ให้ศาลปกครองสูงสุดพิพากษาก่อน แล้วจะกลับมาเล่นงานบุคคลพวกนี้ต่อ ในฐานะหน่วยงานของรัฐละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ เพื่อต้องการสร้างบรรทัดฐานให้เกิดขึ้นในสังคม ปล่อยให้ระบบราชการ เช้าชามเย็นชามต่อไปไม่ได้แล้ว ในเมื่อสิทธิของประชาชนต้องได้รับการคุ้มครอง ภายใต้ รธน.ฉบับเดียวกัน ไม่ว่าเขาจะอ่านไม่อ่าน ชั่งกิโลขาย ไม่เกี่ยว”
นับแต่นี้ไปการประกอบการหรือการลงทุน หรือการพัฒนาใดๆในประเทศต้องอยู่บนจุดยืนของการดูแลชุมชน ดูแลสิ่งแวดล้อม ดูแลทรัพยากรธรรมชาติ การเอาตัวเลขเศรษฐกิจ ตัวเลขจีดีพีเป็นตัวตั้งนั้น นายกสมาคมต่อต้านภาวะโลกร้อน ย้ำชัด ไม่เห็นด้วย ส่วนทางออกเห็นว่า ไม่มีหนทางอื่นใด เว้นแต่ผู้ประกอบการจะไปปฏิบัติตามรธน.50 มาตรา 67 วรรค 2 ทำ รายงานผลกระทบด้านสุขภาพ (Health Impact Assessment – HIA) เพิ่มเติม จัดกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนผู้มีส่วนได้เสีย สุดท้ายให้องค์การอิสระด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพให้ความเห็นประกอบ ส่วนรัฐบาลลต้องไม่ไปแทรกแซงคณะกรรมการ 4 ฝ่าย ซึ่งขณะนี้ยังไม่จำเป็นต้องไปออกพ.ร.บ.องค์การอิสระด้านสิ่งแวดล้อม สามารถใช้รูปแบบระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีมาใช้พลางไปก่อนได้
ส่วนกรณีที่หลายคนเห็นว่า องค์กรอิสระด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ เป็นเหมือนเสือตัวใหม่ นั้น นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า แม้องค์กรนี้เกิดขึ้นมาก็ไม่ใช่เป็นองค์กรทางอำนาจเป็นแค่องค์กรที่ไปจัดกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน นำข้อมูลที่นอกเหนือจากการทำรายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental Impact Assessment: EIA) และ HIA มาเปิดเผยให้โปร่งใสต่อสาธารชนให้มากขึ้น เพื่อให้ทุกคนตกผลึกทางความคิด
ส่วนการทำ HIA ผู้ประกอบการไม่ควรปล่อยให้เป็นหน้าที่ของบริษัทที่ปรึกษา แต่ควรไปดำเนินการศึกษาและทำงานร่วมกัน รับรู้ร่วมกัน เนื่องจากข้อมูลบางอย่างที่บริษัทที่ปรึกษากำหนด ศึกษาแล้วจะต้องมากำหนดเป็นเงื่อนไข มาตรการใช้ HIA จะไปปรากฎในท้ายใบอนุญาตหากผู้ประกอบการไม่รู้เรื่องตั้งแต่ต้นก็จะไม่มีการดำเนินการตามนั้น ในส่วนของกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ผู้ประกอบการก็ไม่ควรทำในลักษณะต่างคนต่างโดยจะต้องทำเหมือนศูนย์ข้อมูลกลางทำครั้งเดียว และเชื่อมต่อข้อมูลให้แต่ละแห่ง ขณะที่วิธีการปฏิบัติเงื่อนไขแต่ละโรงงานสามารถแยกกันได้เพราะมีวัตถุดิบกระบวนการผลิตแตกต่างกันไป
เล็งยื่นฟ้อง 181 โครงการทั่วประเทศ
นายกสมาคมต่อต้านภาวะโลกร้อน กล่าวว่า เราต้องยอมรับความจริงระบบการตรวจสอบเรื่อง EIA อ่อนแรงอ่อนด้อย ไร้ประสิทธิภาพ เห็นง่ายๆ สัมผัสง่ายๆ จากกรณีสนามบินสุวรรณภูมิในรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมเขียนไว้ชัดเจน ต้องเคลื่อนย้ายชาวบ้านออกก่อนสนามบินจะเปิด 5 เดือน แต่ทุกวันนี้เรื่องก็ยังคาราคาซัง
“ยังมี 181 โครงการทั่วประเทศ ทั้งโรงงานเยื้อกระดาษ โรงงานเหล็ก โรงเจาะปิโตรเลียม กระจายอยู่ทั่วประเทศสร้างปัญหา หรือแม้แต่โรงไฟฟ้าที่ถูกประท้วง ชาวบ้านร้องเรียนมาที่สมาคมต่อต้านภาวะโลกร้อนขอให้ดำเนินการเหมือนมาบตาพุด ขณะที่ 65 โครงการเป็นแค่ปลายยอดภูเขาน้ำแข็งในทะเล ยังมีโครงการอีกมากมายทั่วประเทศที่ส่งผลกระทบเป็นข้อขัดแย้งในชุมชน จึงต้องนำโรงงานเหล่านั้นให้กลับเข้าสู่กระบวนการตามเจตนารมณ์ รธน.”
ทั้งนี้ สมาคมต่อต้านภาวะโลกร้อน ได้มีจดหมายไปถึงผู้ประกอบการ 181 โรงแล้วว่าขอให้กลับมาทำ HIA ทำประชาพิจารณ์ องค์การอิสระให้ความคิดเห็น ปฏิบัติตามรธน.50 มาตรา 67 วรรค 2 และให้เวลา 1 เดือน ซึ่งหากวันที่ 30 มกราคม 2553 ผู้ประกอบการ 181 โรงงานไม่ตอบกลับมาว่ายินดีปฏิบัติตามก็จะมีการดำเนินการยื่นฟ้องต่อไป
เอ็นจีโอผู้นำหน้าที่ Watchdog เห็นว่า นี่เป็นกระบวนการในการเรียกร้องสิทธิของประชาชนโดยมี รธน.เป็นเครื่องมือ เป็นกฎหมายแม่บทของประเทศในการคุ้มครองสิทธิ และแม้อาจเป็นผู้ร้ายในสายตาผู้ประกอบการ รัฐบาล แต่เชื่อว่าสิ่งที่ทำเป็นประโยชน์ เพื่อรักษาตัวบทกฎหมาย รักษาเจตนารมณ์ของรธน.ที่เราหวงแหน
บาปบริสุทธิ์ ยันผู้ประกอบการไม่ตั้งใจทำผิด
มุมมองนายชายน้อย เผื่อนโกสุม ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. อะโรเมติกส์และการกลั่น จำกัด (มหาชน) มองว่า ผู้ประกอบการไม่ได้ตั้งใจทำผิดเป็นบาปบริสุทธิ์ เอ็นจีโอฟ้องภาครัฐแต่คนที่ถูกทำโทษ คือผู้ประกอบการ พร้อมแสดงความเป็นห่วงเรื่องใช้กฎหมายที่ไม่แน่นอน การใช้กฎหมายย้อนหลังจนส่งผลกระทบต่อภาพรวมของประเทศ
“สิ่งที่อยากเห็น เป็นไปได้หรือไม่ ทำอะไรก็ได้ให้เดินได้เร็ว ภาคประชาชนสบายใจ ไม่เดือดร้อน ซึ่งภาคอุตสาหกรรมไม่แคร์ออกกฎระเบียบเข้มงวด มีกฎระเบียบชัดเจนไม่กลัวสามารถทำได้ แต่อย่าบอกมาแล้วเปลี่ยนเพราะจะทำให้นักลงทุนไม่กล้าเข้ามาลงทุน”
นายชายน้อย เล่าให้ฟังด้วยว่า ช่วงที่ได้ลงพื้นที่มาบตาพุดกับนายอานันท์ ปันยารชุน ประธานคณะกรรมการ 4 ฝ่าย มีชาวบ้านมาพบ ส่วนใหญ่สะท้อนปัญหาเฉพาะเรื่องสาธารณูปโภค เรื่องขยะไม่มีการจัดเก็บที่ดีพอ ไฟฟ้า น้ำประปาไม่พอใช้ ซึ่งเป็นสิ่งที่คนระยองอยากเห็น
“อยากให้รัฐทำเรื่องนี้ทำให้เกิดสมดุล ดูแลชุมชนซึ่งเป็นผู้เสียสละ มีการพูดกับนายกรัฐมนตรีหลายครั้ง อยากให้มีการทบทวนเรื่องการกระจายงบประมาณพัฒนาจังหวัดต่างๆ ที่น่าจะสะท้อนให้เห็นสิ่งที่จังหวัดนั้นๆ เสียสละ และสร้างรายได้ให้กับประเทศชาติ เช่น มาบตาพุดได้รับการจัดสรรงบประมาณน้อย ขณะที่มีประชากรแฝงเกือบ 3 แสนคน ขณะที่บริษัทในกลุ่มปตท.พยายามจ่ายภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีสรรพาสามิต ภาษีกำไร ภาษีเงินเดือนจ่ายในจ.ระยอง แต่ถูกส่งกลับมาส่วนกลางหมด ก่อนที่รัฐบาลจ่ายกลับไปตามจำนวนประชากร” ผู้บริหาร ปตท. สะท้อนปัญหา และเชื่อว่า หากรัฐบาลไม่แก้ไขปัญหามาบตาพุดให้คนมีความสุข ให้ผู้คนอิจฉาอยากให้อุตสาหกรรมมาตั้งในพื้นที่ของตนบ้าง ไปส่งเสริมการลงทุนที่ใดก็ไม่มีใครอยากให้ทำ
ขณะที่มุมมองนายอานันท์ กล่าวไว้ในช่วงการลงพื้นที่บ้านแลง จ.ระยอง เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2552 ถึงทางออกมาบตาพุดการพัฒนาและปัญหาสิ่งแวดล้อม ไว้อย่างน่าสนใจ “เมื่อความเห็นไม่ตรงกัน และเป็นเรื่องที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งชนะไม่ได้ จะทำให้สังคมปั่นป่วน ทั้งสองฝ่ายต้องชนะ แต่ไม่ชนะ 100% มีความพอใจทั้งสองฝ่าย โดยไม่ทิ้งหลักการตาม รธน.”