- Home
- Thaireform
- สารคดีเชิงข่าว
- “ธนาคารลูกจ้าง” กลไกสร้างฐานเศรษฐกิจ ชุบชีวิตแรงงานไทย
“ธนาคารลูกจ้าง” กลไกสร้างฐานเศรษฐกิจ ชุบชีวิตแรงงานไทย
….คุณภาพชีวิตลูกจ้างไทย ไม่เคยมีใครเหลียวแล
แต่สำหรับคุณครูขันแก้ว สันแดง ครูประจำศูนย์เด็กก่อนวัยเรียนที่ชุมชนสามัคคีพัฒนา ย่านนวมินทร์ 26 เขตบึงกุ่ม กรุงเทพฯ ผู้อาสาเข้ามาทำหน้าที่แกนนำกลุ่มการเรียนรู้สังคมเพื่อน เมื่อปี 2551 ได้พบเห็นสภาพความเป็นอยู่ของคนในชุมชนที่มีอาชีพลูกจ้างรายวัน หาเช้ากินค่ำ หาเงินวันต่อวันเพื่อแลกกับค่าแรงเพียงวันละ 100-200 บาท ไหนจะต้องแบกรับภาระหนี้นอกระบบ กลายเป็นแรงกระตุ้นให้ครูผู้อาสาลุกขึ้นมา สร้างเครือข่ายจนเกิดการรวมกลุ่มออมทรัพย์ขึ้นในปีเดียวกัน เพื่อช่วยเหลือและแก้ปัญหาชีวิตลูกจ้าง
“ดูจำนวนเงินออมของลูกจ้างในชุมชนอาจจะดูน้อยนิดเพียงเดือนละไม่กี่ร้อยบาท เพราะการออมขึ้นอยู่กับความสามารถของแต่ละคน เราไม่ได้มุ่งหวังที่จำนวนเงิน วัตถุประสงค์หลักคืออยากให้ลูกจ้างเห็นความสำคัญของการออมเพื่ออนาคต โดยไม่ต้องพึ่งการกู้เงินนอกระบบอย่างที่ผ่านมา”
ถึงวันนี้ “ชุมชนสามัคคีพัฒนา” มีสมาชิกกลุ่มเรียนรู้และกลุ่มออมทรัพย์ 108 คน มีเงินออม 32,231 บาท มติของกลุ่มชุมชนสามัคคีพัฒนาได้นำเงินออมส่วนหนึ่งไปฝากกับ "ธนาคารลูกจ้าง"ซึ่งเป็นแหล่งระดมเงินทุนเพื่อแก้ไขปัญหาชีวิตแรงงานไทยที่เป็นส่วนหนึ่งของโครงการเสริมสร้างความเข้มแข็งขบวนการแรงงาน (สสร.) ภายใต้การสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) แล้ว ตั้งแต่วันแรกของการเปิดทดลองธนาคารลูกจ้าง เมื่อ 19 ธ.ค.2552 เป็นจำนวนเงิน 22,000 บาท นำฝากในฐานะผู้ลงทุนร่วมกับธนาคาร
และยังเป็นกลุ่มแรกๆ ที่ธนาคารลูกจ้างอนุมัติกู้เงินจำนวน 25,000 บาท เพื่อนำมาปล่อยกู้กับสมาชิก มีตั้งแต่นำเงินไปลงทุนประกอบอาชีพ จ่ายค่าเทอมบุตร ค่ารักษาพยาบาล
คุณครูขันแก้ว เจ้าของรางวัล “แกนนำดีเด่นประจำปี 2553” กลุ่มออมทรัพย์และกลุ่มสังคมเพื่อนในชุมชนสามัคคีพัฒนา เชื่อมั่นในหลักการของธนาคารลูกจ้าง ที่แม้การรับฝากเงินจะไม่มีดอกเบี้ย แต่หากสมาชิกร่วมออมมากขึ้นๆ ในอนาคตก็ไม่ต้องพึ่งพาหนี้นอกระบบ ทั้งยังช่วยเสริมทำให้เกิดฐานเศรษฐกิจเข้มแข็งให้ลูกจ้างไทยได้ด้วย
สังคมเพื่อนในพื้นที่อ.นาดี
จุดเล็กๆ ของสังคมเพื่อนช่วยเพื่อน ยังแตกหน่อของเมล็ดพันธุ์ ผลิดอกกิ่งก้านสาขาไปที่ในพื้นที่อ.นาดี จ.ปราจีนบุรี แกนนำเครือข่ายสังคมเพื่อนดีเด่นประจำปี 2553 นายมนัส ณีรอด รองประธานสหภาพแรงงานโรงานพีเอ็มฟู้ดส์ นิคมอุตสาหกรรม 304 จ.ปราจีนบุรี เล่าว่า ได้เริ่มตั้งร้านค้าชุมชน เมื่อปี 2551 ขายสินค้าอุปโภคบริโภคจำเป็น ไล่ตั้งแต่แชมพู สบู่ น้ำมันพืช บัตรเติมเงิน ยันไข่ไก่ สั่งซื้อโดยตรงจากโรงงานที่สมาชิกเครือข่ายทำงานอยู่ในราคาพิเศษ จุดแข็งนี้เองทำให้สามารถขายของได้ในราคาถูกกว่าร้านค้าอื่นๆ ในพื้นที่
“จากนั้นเดือนต.ค. ปี 2552 ทางกลุ่มได้เริ่มจัดตั้งสหกรณ์ออมทรัพย์ โดยให้สมาชิกร่วมหุ้นๆ ละ 50 บาท ปัจจุบันมีสมาชิก 204 คน ได้ร่วมหุ้นแล้วประมาณ 30,000 บาท ปันผลกำไรทุก 3 เดือน กำหนดให้มีการขายสินค้าภายในร้านแก่สมาชิกและคนทั่วไป และเพื่อเป็นการเกื้อกูลกันในเครือข่ายและชุมชน สหกรณ์ออมทรัพย์ มีเงื่อนไขสามารถซื้อเงินเชื่อและนำเงินมาจ่ายในสิ้นเดือนได้”
นายมนัส เล่าว่า กลุ่มออมทรัพย์ในพื้นที่ว่า เป็นการระดมทุนของลูกจ้างในเครือข่าย สมาชิกสหกรณ์และชุมชน เพื่อสร้างฐานเงินร่วมกัน จะกว้างกว่าสหกรณ์เดิมที่ต้องมีการซื้อหุ้นลงทุน ทั้งนี้เพื่อให้เกิดฐานเงินที่สมาชิกกลุ่มออมทรัพย์สามารถฝากหรือกู้ไปลงทุนสร้างอาชีพเสริมรายได้ หรือไปใช้จ่ายจำเป็นได้ตามสมควร โดยมีเงื่อนไขให้สมาชิกต้องฝากเงินประจำเดือนละ 100 บาท ไม่มีผลตอบแทนในการฝากเพราะเพื่อระดมเงินไว้ช่วยกัน หากใครต้องการผลกำไรต้องไปลงทุนในสหกรณ์แทน
ปัจจุบันเครือข่ายอ.นาดี มีกลุ่มออมทรัพย์ 23 กลุ่ม มีแกนนำ 23 คน ยอดมีสมาชิกเครือข่ายกว่า 2,500 คน และมีเงินออมกว่า 30,000 บาทแล้ว
“ก่อนมีธนาคารลูกจ้าง กลุ่มออมทรัพย์ได้ขายบัตรเติมเงินโทรศัพท์มือถือทั้งประเภทบัตรเติมเงินและออนไลน์ เป็นกิจกรรมรูปแบบแรกที่สร้างความสนใจและรายได้ให้สมาชิกเพื่อกระตุ้นให้สมาชิกและคนนอกเห็นความสำคัญของเครือข่ายที่ทางโครงการสสร.ตั้งใจช่วยเหลือจริงๆ โดยจัดหาบัตรเติมเงินต้นทุนพิเศษมาให้สมาชิกขาย เช่น บัตรชนิด 100 บาท มีราคาทุน 98 บาทนำมาขาย 103-103 บาท กำไรจะแบ่งโครงการ 1 บาท และที่เหลือนำเข้ากลุ่มให้จัดสรรเอง” แกนนำเครือข่ายอ.นาดี อธิบาย
นอกจากนี้ยังมีการขายไข่ไก่ จัดซื้อจากฟาร์มในอ.ศรีมหาโพธิมาดำเนินการเอง นายมนัส บอกถึงเหตุผลที่เลือกไข่ไก่เพราะเป็นสินค้าพื้นฐานที่ซื้อและขายง่าย อีกทั้งมีฐานความร่วมมืออยู่แล้ว ต้นทุนไข่ไก่ที่ขายเฉลี่ยเบอร์ 1 ประมาณแผงละ 85 บาท ราคาขายประมาณ 100 บาท ยอดขายเดือนละ 100-130 แผง กลุ่มออมทรัพย์จะมีกำไรจากสินค้านี้ 1,500-2,000 บาทต่อเดือน
“การขายจะให้สมาชิกนำไปบริโภคหรือขายต่อ มีเงื่อนไขอีกเช่นกันว่า สามารถซื้อสินค้าเงินเชื่อและนำเงินสดมาชำระคืนในสิ้นเดือนได้ กำไรนี้จะปันแก่สมาชิกในกลุ่มออมทรัพย์ที่ร่วมลงทุนและจำหน่ายด้วยกัน ขณะที่ผลกำไรของกลุ่มออมทรัพย์ทั้งหมดสมาชิกจะมีมติแต่ละครั้งว่าจะนำมาฝากในธนาคารลูกจ้างอย่างไรบ้าง”
ธ.ลูกจ้าง ผูกพันทางสังคม
เมื่อถามถึงกลไกของธนาคารลูกจ้าง นายมนัส อธิบายว่า สมาชิกสังคมเพื่อนจะสามารถเข้ากลุ่มออมทรัพย์ทำธุรกรรมกับธนาคารลูกจ้างได้ใน 3 กรณี คือ 1.สามารถนำเงินไปฝากออมทรัพย์กับธนาคารโดยมีอัตราดอกเบี้ย 1% ต่อปี 2.สามารถฝากได้ในลักษณะเพื่อการลงทุนกินกำไรจากกิจการธนาคาร โดยธนาคารจะปันผลกำไรให้สมาชิกตามวาระที่จะกำหนด และ 3.สามารถกู้เงินเพื่อการลงทุนประกอบอาชีพหรือนำไปใช้จ่ายจำเป็นได้ โดยมีอัตราดอกเบี้ย 8% ต่อปี สามารถกู้ได้ทั้งลักษณะของกลุ่มออมทรัพย์และรายบุคคล ซึ่งมีเงื่อนไขไม่ปล่อยกู้เป็นเงินสดต้องเข้าชื่อกลุ่มเสนอโครงการขอกู้ หากในกรณีรายบุคคลต้องมีสมาชิกสังคมเพื่อนค้ำประกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของกรรมการที่ปรึกษาธนาคารเป็นรายกรณีไป และต้องมีการนำเงินมาฝากธนาคารก่อนจึงจะกู้ได้โดยสามารถกู้ได้ภายในวงเงิน 1.5 เท่าของเงินออม และต้องชำระคืนธนาคารเป็นเงินสด
“ธนาคารนี้ช่วยลูกจ้างได้มากเพราะลูกจ้างไม่สามารถกู้ธนาคารพาณิชย์ได้ เนื่องจากมีเงื่อนไขผูกพันและข้อจำกัดจำนวนมาก แต่ธนาคารนี้เป็นเงื่อนไขข้อผูกพันในลักษณะทางสังคมมากกว่า”
เช่นเดียวกับแกนนำที่ขับเคลื่อนงานกิจกรรมเพื่อสังคม อย่างนายวินิต บัวชุม ที่ปรึกษาโครงการสังคมเพื่อนในส่วน จ.ปราจีนบุรี ตอกย้ำถึงการรวมกลุ่มสังคมเพื่อนว่า เป็นการสร้างกระบวนการถ่ายทอดความรู้สู่พื้นที่ต่างๆ ทำให้ลูกจ้างแรงงานไทยทั้งในและนอกระบบได้รวมตัวกับชุมชนต่อยอดรวมกลุ่มกันระดมปัญหา พร้อมช่วยกันคิดแก้ไข แลกเปลี่ยนความรู้ ความคิด และแนวทางพัฒนาผลักดันยกระดับคุณภาพชีวิตลูกจ้างร่วมกัน โดยปราศจากข้อจำกัดทางทุนและเชื่อมโยงความร่วมมือกันทุกพื้นที่ทั่วประเทศที่เป็นเครือข่าย และเห็นความสำคัญขบวนการแรงงานเข้มแข็ง เกิดแนวคิดการออมและตั้งร้านค้าชุมชนเพื่อสร้างอาชีพ รายได้แก่ลูกจ้างและท้องถิ่น
“จ.ปราจีนบุรีเป็นพื้นที่ต้นแบบที่เป็นรูปธรรมชัดเจน ทำให้เกิดรวมกลุ่มออมทรัพย์และระดมทุนของลูกจ้างด้วยกัน เพื่อให้กู้ยืมเงินลงทุนประกอบอาชีพหรือใช้จ่ายจำเป็น สู่การสร้างฐานเศรษฐกิจที่เข้มแข็งให้แรงงานด้วยทุนของพวกเราเอง”
สอดคล้องกับแกนนำดีเด่นเครือข่ายรู้สังคมเพื่อนจ.สระบุรี นางพิมพา ช่วยรอด พนักงานตรวจสอบคุณภาพและเลขานุการสหภาพแรงงานโรงงานอุตสาหกรรมบริษัท รอยัล ปอร์ซเลน จำกัด (มหาชน) ต.ตาลเดี่ยว อ.แก่งคอย จ.สระบุรี บอกว่า เครือข่ายลูกจ้างแต่ละกลุ่มสามารถช่วยเหลือกันได้ผ่านธนาคารลูกจ้าง เพราะเป็นเสมือนธนาคารกลางที่จะช่วยเหลือสมาชิกทุกคนในเครือข่าย ก้าวข้ามข้อจำกัดในพื้นที่ โดยธนาคารสามารถช่วยเหลือลูกจ้างในวงกว้างมากกว่าการรวมกลุ่มออมทรัพย์ที่เป็นอยู่ในโรงงาน ในสหภาพแรงงานต่างๆ หรือในชุมชน
ไม่ไกลเกินฝันลูกจ้างกินดี อยู่ดี มีสุข และมีสิทธิ
รศ.ดร.ณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ ประธานคณะทำงานการกระจายรายได้ สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และผู้จัดการสสร. ผู้ที่ได้เห็นวัฏจักรการทำงานหนักของลูกจ้างที่มีรายได้ต่ำ ต้องพึ่งการทำงานงานล่วงเวลา ห่างเหินจากครอบครัว ตามด้วยปัญหาสุขภาพ
จากปัญหาคุณภาพชีวิตเหล่านี้ทำให้เกิดการรวมกลุ่มแรงงานขึ้นในนาม “โครงการสังคมเพื่อน” หรือโครงการสสร.เมื่อปี 2550 ด้วยแนวคิดการทำงาน “จะทำอย่างไรให้ลูกจ้างนั้นกินดี อยู่ดี มีสุข และมีสิทธิ”
ผู้จัดการสสร.บอกกล่าวถึงสถานการณ์ปัจจุบันว่า วิถีชีวิต “ลูกจ้าง” มีภาระต้องทำงานเลี้ยงคน 4 ประเภท ต้องเลี้ยงนายจ้างเพื่อสร้างกำไร เลี้ยง พ่อแม่ที่แก่เฒ่า เลี้ยงลูก และเลี้ยงผู้สูงอายุ ตรากตรำทำงานวันละ11-12 ชม. แลกกับเงินเดือนไม่เกิน7,000 บาท ขณะที่ข้าราชการผู้น้อยทำงานเพียงสัปดาห์ละ 35 ชม.เสาร์- อาทิตย์ได้พักก็รับ 7,000 บาทเท่ากัน
“ถ้าลูกจ้างเอาชีวิตไม่รอด เศรษฐกิจจะอยู่ได้อย่างไร สังคมไทยเกือบจะไม่เคยคิดถึงฐานเงินทุนของลูกจ้าง ทุกคนคิดถึงเพียงเกษตรกรว่า ต้องมีกองทุนหมู่บ้าน มีสหกรณ์การเกษตรสารพัด แต่ไม่คิดว่าคนส่วนใหญ่ของประเทศ คือ มนุษย์ค่าจ้าง ทั้งๆที่สังคมไทยเป็นสังคมอุตสาหกรรมแล้ว มีคนส่วนใหญ่ของประเทศเป็นลูกจ้าง
"ลูกจ้างกลายเป็นผู้บริโภคหลัก ขณะเดียวกันระบบการผลิตอุตสาหกรรมต้องพึ่งลูกจ้างเป็นหลัก เพราะฉะนั้นลูกจ้างจึงเป็นทั้งผู้ปฏิบัติงานและผู้บริโภค แถมยังเป็นตัวเชื่อมชนบทกับเมืองในการส่งเงินเลี้ยงดูพ่อแม่และลูก
"ในระบบทุนนิยมสิ่งสำคัญต้องสร้างฐานเศรษฐกิจซึ่งเป็นเรื่องปากท้อง โดยต้องสร้างฐานทุนจากการรวมกลุ่มออมทรัพย์หรือสร้างธนาคารจากที่เรามีกลุ่มออมทรัพย์ จากนั้นนำทุนไปขับเคลื่อนสร้างสิ่งต่างๆ ในเมื่อเพิ่มรายได้ให้กับคนกลุ่มนี้ไม่ได้ก็ต้องลดรายจ่ายให้ได้ แต่ทำไมประเทศไทยไม่คิดสิ่งเหล่านี้บ้าง เมื่อรัฐบาลไม่เห็นปัญหา แต่เราเห็นปัญหาก็ต้องทำและทำจนถึงวันนี้ โดยหัวใจสำคัญคือต้องรวมทุนลูกจ้างไปสร้างฐานเศรษฐกิจให้ได้”
รศ.ดร.ณรงค์ ผู้พยายามเปลี่ยนแปลงสร้างทุนมวลชนให้ทุกคนเห็น ท่ามกลางภาวะแวดล้อมเต็มไปด้วยระบบทุนนิยม กล่าวอย่างเชื่อมั่นว่า ธนาคารลูกจ้าง ซึ่งก็คือ การรวมกลุ่มของลูกจ้างแล้วใช้ทุนของลูกจ้างนำไปสร้างฐานเศรษฐกิจที่เข้มแข็งสำหรับลูกจ้างไทย แม้วันนี้จำนวนเงินในธนาคารจะมีไม่มาก เมื่อเทียบกับจำนวนชีวิตลูกจ้างที่กำลังประสบปัญหาอยู่ขณะนี้กว่า 17 ล้านคน แต่นี่ก็คือ จุดเริ่มต้นของการสร้างฐานทุน ฐานเศรษฐกิจให้กับลูกจ้างไทย
และเป็นอีกเครื่องมือหนึ่งในการสร้างสวัสดิการโดยสังคมที่ยั่งยืน โดยมีเป้าหมายใหญ่ คือ “สร้างสังคมสวัสดิการ”
หากใครสนใจอยากเข้าร่วมกับ “ธนาคารเพื่อแรงงาน” แห่งนี้ สามารถเข้าร่วมได้ด้วยการสมัครเป็นสมาชิกเครือข่ายสังคมเพื่อนติดต่อโดยตรงได้ที่โครงการเสริมสร้างความเข้มแข็งขบวนการแรงงาน 0-2218-6245
ทั้งนี้ผู้จัดการสสร. กล่าวอีกว่า สำหรับเป้าหมายการดำเนินการของธนาคารแห่งนี้ภายใน 5 ปีจะมีสมาชิกโครงการอย่างน้อย 100,000 คน ซึ่งในระยะ 3 ปีแรกนี้ทางสสร.จะร่วมประคับประคองการดำเนินงานอย่างใกล้ชิด และเครือข่ายจะต้องร่วมขับเคลื่อนกันเองต่อไป
ดาวน์โหลดเอกสารประกอบการนำเสนอ
เรื่อง สังคมสวัสดิการ (Welfare Society) โดย รศ.ดร.ณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ
วันที่ 24 พฤศจิกายน 2552 ณ ห้อง Meeting สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์