- Home
- Thaireform
- สารคดีเชิงข่าว
- เส้นทางการเมืองไทย VS วิกฤตความชอบธรรม
แจ้งให้ทราบ
Current Item Layout Template is 'default-thaireform' does not exist
- Please correct this in the URL or in Content Type configuration.
- Using Template Layout: 'default'
เส้นทางการเมืองไทย VS วิกฤตความชอบธรรม
ห้วงเวลาที่แกนนำ นปช.ระดมพลพาคนเสื้อแดงไปเทเลือดที่หน้าบ้านพักนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในซอยสุขุมวิท 31 ในอีกมุมหนึ่งณ ห้องประชุม ชั้น 2 คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ศูนย์ติดตามประชาธิปไตยไทย (Thailand Democracy Watch) และภาควิชาการปกครอง ลุกขึ้นมาจัดเสวนาทางวิชาการ วงเล็กๆ เรื่อง “เส้นทางการเมืองไทยกับวิกฤตความชอบธรรม”
ผู้นำการเสวนาคนแรก แสดงทัศนะต่อการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดง รศ.สมชาย ปรีชาศิลปกุล คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และอธิการบดีมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ตั้งคำถามว่า การเคลื่อนไหวของกลุ่มเสื้อแดง เราจะมองปัญหานี้อย่างไร โดยคนจำนวนไม่น้อยคิดว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับการยึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี แต่อยากให้มองอีกด้าน การเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นเป็นผลจากความขัดแย้งในสังคมไทย ทำไมจึงมีคนจำนวนมากออกมาเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องและยาวนาน
“การเคลื่อนไหวต่อเนื่องยาวนาน รวมถึงจำนวนคน น่าจะพอบอกอะไรกับสังคมไทยได้บ้างว่า เป็นปรากฎการณ์สะท้อนความพิกลพิการ ถ้ามองแบบนี้ทำความเข้าใจปัญหา ทำให้เราคิดถึงทางออกประเด็นปัญหาที่ต่างออกไป”รศ.สมชาย กล่าว และว่า ความขัดแย้งในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา เราแทบไม่เห็นการปรับตัวเชิงอำนาจเกิดขึ้น แม้กระทั่งการรัฐประหาร เมื่อ 19 ก.ย.2549 แม้จะทำให้โอกาสการปรับตัวทางอำนาจทางระบอบประชาธิปไตยยุติลงบ้าง แต่ก็มีการปรับตัวทางอำนาจเพื่อนำไปสู่อำนาจแบบดั้งเดิมอีก
อธิการบดีมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน กล่าวถึงสันติวิธีในสังคมไทยว่า มีหลายกลุ่มหลายแบบ แต่ประเด็นที่ต้องช่วยกันขบคิด คือ เรื่องของความใส่ใจต่อสิ่งที่เรียกว่า สันติวิธี ซึ่งดูเหมือนว่าสันติวิธีที่เราพูดในทุกวันนี้ ไม่ใช้ความรุนแรง เป็นกลุ่มสีขาว นี่เป็นสันติวิธีที่ค่อนข้างตื้นเขิน เป็นการพูดถึงความรุนแรงทางกายภาพโดดๆ ไม่ตีหัวกัน น่าพอใจ โดยเราไม่ได้คิดถึงมิติความรุนแรงด้านอื่นๆ มิติความรุนแรงเชิงโครงสร้าง เช่น เราชอบอ้างถึงกฎหมายรัฐธรรมนูญ แต่เราไม่ได้ตระหนักว่า รัฐธรรมนูญหรือกฎหมายที่เขียนขึ้นมีความชอบธรรมหรือไม่ หรือมิติความรุนแรงทางวัฒนธรรม เช่น การเคลื่อนไหวของชาวบ้านจากต่างจังหวัดมาร่วมชุมนุม เราก็มักมีคำอธิบาย ถูกจ้างมาประท้วง เป็นต้น
“เรามองไม่เห็นความรุนแรงในมิติอื่นๆ ที่เกิดขึ้นจากการชุมนุมของคนเสื้อแดง ครั้งนี้ สิ่งที่ต้องพูดถึงเราต้องวิพากษ์นักสันติวิธี หรือโต้แย้งว่า สันติวิธีที่ถูกพูดถึงตอนนี้ เป็นสันติวิธีที่เพียงพอหรือไม่ เป็นสันติวิธีที่หน่อมแน้มเกินไป”
รศ.สมชาย กล่าวถึงการแก้ไขปัญหาของนายกรัฐมนตรี ว่า กำลังเล่นบทบาท “If Prime Minister” ทั้ง การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ยุบสภา ขณะที่ปัญหาสังคมการเมืองไม่เกิดการขยับตัว ไม่เปิดโอกาสให้มีการแชร์อำนาจเกิดขึ้น นับวันความขัดแย้งมีแต่จะลงลึกไปมากขึ้น
“เรามักอธิบายพ.ต.ท.ทักษิณใช้นโยบายประชานิยม ทำให้ชาวบ้านจงรักภักดี ขณะที่นายอภิสิทธิ์ ก็ใช้นโยบายประชานิยมเหมือนกัน ทำหลายเรื่อง แต่ก็ไม่สามารถดึงความนิยมจากพ.ต.ท.ทักษิณมาได้ หมายความว่า ชาวบ้านไม่ได้คิดเรื่องวัตถุ เขาคิดถึงมิติอื่นที่กว้างกว่า หากมองตรงกันข้ามใช่หรือไม่ที่ชาวบ้านกำลังใช้ พ.ต.ท.ทักษิณ เพื่อกำลังบอกถึงความต้องการทางอำนาจอะไรบางอย่าง แต่เวลาเราอ่านปรากฎการณ์กลับจับพ.ต.ท.ทักษิณเป็นตัวตั้ง ดังนั้น หากเราไม่ปรับอะไรเลย ต่อให้เสื้อแดงถอยกลับเลิกชุมนุม ความขัดแย้งก็กลับไปอยู่ในพื้นที่ สร้างความเกลียดชังลงลึกมากขึ้นอีก”รศ.สมชาย กล่าว และเสนอทางออกว่า ทำอย่างไรให้เกิดโอกาสเริ่มต้นคุย เจรจาต่อรองกันอย่างสันติ โดยดึงทุกฝ่ายเข้ามาเจรจา ซึ่งไม่ได้หมายความว่า จะสามารถแก้ไขปัญหาได้ แต่เพื่อทำให้กลไกปกติเป็นที่ยอมรับและเดินหน้าไป
แถลงการณ์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
จากนั้น รศ.สมชาย ได้อ่านแถลงการณ์ในนามมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน เรื่อง “ออกไปจากการเมืองที่ตีบตัน” เรียกร้อง ประการแรก รัฐบาลต้องประกาศการยุบสภาภายในระยะเวลา 3 เดือน ประการที่สอง รัฐสภาต้องผลักดันให้เกิดการแก้ไขรัฐธรรมนูญในส่วนที่เป็นปัญหาเฉพาะหน้าให้แล้วเสร็จภายในห้วงระยะเวลานี้ เพื่อให้เกิดกติกาของการเลือกตั้งซึ่งเป็นที่ยอมรับได้ในระหว่างนักการเมืองด้วยกัน ประการที่สาม พรรคการเมืองต้องเจรจาเพื่อให้เกิดการยอมรับวิถีทางพื้นฐานของการเลือกตั้ง เปิดโอกาสให้มีการหาเสียงของทุกพรรคการเมืองได้อย่างกว้างขวางในทุกพื้นที่ และประการที่สี่ ภายหลังการเลือกตั้งต้องยอมรับการจัดตั้งรัฐบาลที่เป็นไปภายใต้ระบบของประชาธิปไตย ไม่มีการแทรกแซงจากอำนาจนอกระบบ
การไม่ไยดีต่อการเคลื่อนไหวทางการเมืองดังที่เป็นอยู่ทั้งจากรัฐบาลและสังคมไทย จะมีความหมายถึงการทำให้ความขัดแย้งทางการเมืองดำรงอยู่ต่อไป และอาจเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างความรุนแรงทางการเมืองให้บังเกิดขึ้นอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง
วิกฤตความชอบธรรม ไม่ใช่เพิ่งเกิด
ขณะที่ศ.ดร.ชลิดาพร ส่งสัมพันธ์ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวถึงเส้นทางการเมืองไทยกับวิกฤตความชอบธรรมว่า ไม่ใช่เพิ่งเกิด แต่มีมาอย่างยาวนาน โดยจะเห็นการเผชิญหน้า เห็นความขัดแย้งการปะทะกันระหว่างขบวนการประชาชน 2 กลุ่ม ที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน
“วิกฤตความชอบธรรม เราไม่สามารถเห็นพ้องต้องกันได้ว่า อะไรถูก แม้แต่กฎกติกาเราก็ไม่เห็นพ้องต้องกัน มีคนคิดว่ากฎหมายไม่ชอบธรรม ไม่ถูกต้อง และไม่ปฏิบัติตาม เราไม่มีความเห็นพ้องต้องกัน อะไรคือหลักการการอยู่ร่วมกันของสังคมนี้ ในที่สุดแล้วเมื่อเกิดการเผชิญหน้าด้วยความรุนแรง มันจะไปถึงที่สุด เพราะไม่มีจุดให้หยุด”
ศ.ดร.ชลิดาพร กล่าวถึงทางออกหลายๆ อย่างที่คุ้นเคยและเรียกร้อง ถึงตอนนี้ก็ไม่เวิร์ก ไม่ทำงาน เพราะจะมีคนตั้งคำถามและไม่ยอมรับตลอดเวลา ส่วนวิธีการนอกระบบที่เราคุ้นเคย ซึ่งไม่ได้มีแต่รัฐประหารเท่านั้น ยังมีวิธีการประหลาดๆมหัศจรรย์ที่คนเรียกร้องมากมาย คิดว่า ก็ไม่เวิร์กเช่นกัน ซึ่งเส้นทางการเมืองไทยเดินมาถึงจุดนี้ คำถาม คือ เราจะทำอย่างไรกันต่อไป
“สิ่งที่เราเห็นเป็นการปะทะกันของอะไรหลายอย่าง มีเรื่องที่มองไม่เห็นและพูดไม่ได้จำนวนมาก มีความจำกัดอยู่บางประการ การต่อสู้เคลื่อนไหวไม่ว่าสีไหน มาจากปัจจัยที่ซับซ้อน เหมือนจุลกฐินคนที่หลากหลายทั้ง 2 ฝั่ง เป็นที่รวมของคนที่คิดไปคนละเรื่อง ต้องการคนละอย่างแล้วมารวมกันอยู่” อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มธ. กล่าว และว่า ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงในระดับโครงสร้างใหญ่ของสังคมการเมือง ต้องใช้เวลายาวนาน คงเปลี่ยนไม่ได้ภายใน 7 วัน การออกมาสู้ 1 ยกไม่เห็นผลไม่ได้แปลว่า ล้มเหลว ฉะนั้นหนึ่งยกไม่สำเร็จ ไม่เป็นไร และ ไม่ได้แปลว่าไม่ได้อะไร
อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มธ. มองว่า การชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงครั้งนี้มีผลกระทบต่อสังคมการเมืองหลายๆ อย่าง คนกรุงเทพฯ คนชั้นกลาง เริ่มเห็นการชุมนุมเสื้อแดงที่มาจากต่างจังหวัด ได้ปรับตัวและหันกลับมามองคนเสื้อแดงมากขึ้น “เวลานี้ ประเด็นการชุมนุมของเสื้อแดง ถูกเห็นมากขึ้นและเห็นอย่างซับซ้อนขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะการฟังของคนไทยมีเพิ่มขึ้น จากที่ไม่ค่อยจะฟังใคร เราทำให้คนต้องพูด ต้องนำเสนอประเด็นที่ไม่ค่อยพูดถึงมากมาย การชุมนุมของคนเสื้อแดงครั้งนี้จึงไม่สูญเปล่า และหากไม่เกิดความรุนแรง ถือเป็นความสำเร็จอย่างใหญ่หลวงของทุกฝ่ายของสังคมการเมือง”
อย่างไรก็ตาม ศ.ดร.ชลิดาพร ยังเชื่อในความสามารถการประนีประนอมของสังคมไทย จะทำให้ไม่เกิดความรุนแรง พร้อมเสนอวิธีคิดนอกกรอบ จูงมือออกจากมุม ให้สังคมไทยมีโอกาสคิดร่วมกันให้มีการจะคุยกัน จัดเป็นเวทีเล็กในที่ต่างๆ ที่ไม่ใช่เวทีขนาดใหญ่แบบเราคุ้นเคย “เริ่มจากเวทีเล็กในชุมชนของคนที่อยากพูดกติกาทางการเมือง ในภาษาของเขา แล้วค่อยๆ ขึ้นมาทำเป็นกติกาทางการเมืองร่วมกัน โดยเห็นว่า วิธีนี้จะดีกว่าการยกบทบาทหน้าที่ให้ผู้เชี่ยวชาญกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง และแม้จะต้องใช้เวลายาวนาน แต่ถือว่า คุ้ม เพราะไม่ต้องเผชิญหน้าฆ่ากัน”
โทษสื่อนำเสนอข่าว ไม่เที่ยงธรรม
ด้านผศ.ดร.พวงทอง ภวัคพันธุ์ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวถึงการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง โดยตั้งคำถามสื่อมวลชนไทยมองการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงแตกต่างจากสื่อต่างประเทศ สื่อกระแสหลักไม่ได้ทำหน้าที่เป็นกลไกหลักในการนำเสนอข่าวอย่างเที่ยงธรรม เหมือนสื่อมวลชนไทยกำลังทำข่าวตัวเองอยู่ นำเสนออุดมการณ์ของตัวเอง ว่าการเมืองไทยควรจะเป็นอย่างไร
“การนำเสนอข่าวเสื้อเหลือง เสื้อแดงที่แตกต่างกัน สื่อมวลชนปฏิเสธความชอบธรรม อะไรที่เป็นเรื่องที่เสื้อแดงออกมาเรียกร้องจึงไม่ได้ยิน ดังนั้นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนี้เป็นผลมาจาก 2 มาตรฐานของการที่ชนชั้นกลางและสื่อมวลชนปิดตาข้างหนึ่ง เมื่อเราไม่ได้ยินเนื้อหาสาระของคนเสื้อแดง เรื่องระบบ 2 มาตรฐานที่ต้องถูกตรวจสอบ กลับได้ยินพ.ต.ท.ทักษิณ เรื่องของเงิน ซึ่งไม่ใช่เนื้อหา การไม่ฟังกันจึงนำมาสู่การเผชิญหน้ากัน” ผศ.ดร.พวงทอง กล่าว และว่า เมื่อการรับฟังกลับมา ก็มาพร้อมกับสโลแกนสันติวิธี ตรงนี้มาบดบัง ความชอบธรรมของกลุ่มเสื้อแดงอัตโนมัติ กูรูสันติวิธี แม้มีเจตนาดี การณรงค์สันติวิธีได้กลายเป็นสิ่งที่บอกว่า เหมือนมีคำตอบในตัว หากมีการปะทะ เสื้อแดงเป็นสาเหตุความรุนแรง
ส่วนเรื่องของการยุบสภา-ลาออก ผศ.ดร.พวงทอง เห็นด้วยว่า การเปลี่ยนแปลงหลายอย่างต้องใช้เวลายาวนาน กว่าจะถึงตรงนั้นได้ สังคมไทยเต็มไปด้วยชนวนระเบิด ต้องถูกปลดเป็นระยะๆตลอดเวลา ขณะนี้เราเห็นชนวนระเบิดรออยู่ แต่การบอกให้กลุ่มคนเสื้อแดงกลับไปโดยไม่ได้อะไรเลย จึงยาก มาถึงจุดนี้แล้ว ต้องมีจุดประนีประนอมกันอย่างไร
“ข้อเสนอยุบสภา เป็นวิถีทางรัฐสภาที่ช่วยปลดชนวนความรุนแรงได้ ถ้าสามารถดึงการจุดชนวนเข้าสู่ระบบรัฐสภาจะทำให้สังคมเดินหน้าต่อไป อาจเป็นช่วงสั้นและไปแก้ทีละเปลาะ ดังนั้น การแก้ชนวนเฉพาะหน้าจึงมีความสำคัญ“ ผศ.ดร.พวงทอง กล่าว พร้อมเสนอให้ ส.ส.พรรคเพื่อไทย 183 คน ยื่นใบลาออกสภาก็อยู่ไม่ได้ “ทำไมพวกท่านไม่ทำอะไร ปล่อยให้ฝ่ายเสื้อแดงทำหน้าที่พรรคฝ่ายค้านแทนท่านอยู่ สมัยพรรคประชาธิปัตย์ บรรดาส.ส.ไม่ควรปล่อยให้การเล่นการเมืองนอกสภา มาเป็นเครื่องมือหลักในการครองอำนาจ”
ขณะที่ความกลัวเมื่อมีการเลือกตั้งใหม่แล้ว พรรคเพื่อไทยจะกลับมา พ.ต.ท.ทักษิณ จะครองอำนาจแบบเบ็ดเสร็จอีกครั้ง อาจารย์รัฐศาสตร์ จุฬาฯ เห็นว่า เราไม่ควรรมองข้ามพลังอำนาจประชาสังคม พลังตรงนี้จะเป็นตัวคัดคานอำนาจทางรัฐสภา หากมีการเลือกตั้งใหม่ ทักษิณจะมามีอำนาจเบ็ดเสร็จอีกครั้ง เชื่อว่า ไม่มีโอกาสกลับมาเป็นอย่างนั้นอีกแล้ว เพราะภาคประชาสังคมไทยเข้มแข็ง เสียงคัดค้านทางรัฐสภามีอย่างหลากหลาย
"สันติวิธี"ไม่เคยให้ทางออกที่ดีในการแก้ปัญหา
สุดท้าย รศ.สิริพรรณ นกสวน-สวัสดี คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวถึงความชอบธรรมในสายตาคนไทยมองระบบการเมือง เริ่มขาดความชอบธรรม เกิดขึ้นไม่พร้อมกัน และไม่รู้ว่า วิกฤตเริ่มตรงไหนตอบไม่ได้ ซึ่งหากไม่แก้จะเผชิญปัญหานี้แบบวัฎจักร ขณะที่การเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดง เห็นว่า มีความชอบธรรมพอสมควร แต่ไม่ทั้งหมด และจากการเฝ้ามอง มีความหลากหลายในกลุ่มคนเสื้อแดงมากด้วยเช่นกัน “คนเสื้อแดงมีความหลากหลาย เป็นคนกลุ่มใหญ่ที่เราควรเห็นอกเห็นใจเพราะมีความเดือดร้อน จากนโยบายรัฐที่ไม่เป็นธรรม เราไม่เคยเปิดพื้นที่ให้กลุ่มคนเสื้อแดง มองการเคลื่อนไหวส่วนใหญ่ผูกโยงกับพ.ต.ท.ทักษิณ”
รศ.สิริพรรณ กล่าวถึงแนวทางสันติวิธีว่า ไม่เคยให้ทางออกที่ดีในการแก้ปัญหา ว่า ต้องทำอย่างไร นอกจากบอกว่า คิดต่างได้ แต่อย่าใช้ความรุนแรง ขณะเดียวกันสิ่งที่ไม่เคยพูด ไม่บอกว่า คิดต่างกันแล้วฟังกันหรือไม่ ซึ่งไม่มีใครฟังเสื้อแดง อีกทั้งคนเสื้อแดงก็ไม่บอกให้ชัดว่าต้องการอะไรบ้าง ปล่อยให้แกนนำบอกยุบสภา รู้ทั้งรู้ว่าเป็นข้อเรียกร้องที่ไม่เกิดขึ้น
ส่วนทางออกของปัญหานั้น รศ.สิริพรรณ กล่าวว่า ไม่มีทางออก แต่มี 2 ด้านที่จะมอง เป้าหมายหลักคือ ต้องมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ไม่ใช่แค่เล็กๆน้อยๆ เป็นเรื่องโครงสร้างฐานรากของสังคม ทำอย่างไร เบื้องต้นก็ยังไม่เห็นด้วยร้อยเปอร์เซ็นต์กับการยุบสภา เพราะเห็นว่า ไม่ใช่ทางออก
“หากเลือกตั้งใหม่ ถึงพรรคเพื่อไทยได้เสียงข้างมาก ก็ไม่ได้เสียงข้างมากสุด ไม่ได้เป็นรัฐบาล เพราะยังมีอะไรที่พูดไม่ได้อยู่เบื้องหลัง และเป็นสิ่งที่ส่งอิทธิพลต่อการเมืองไทยโดยตลอด ดังนั้น การแก้ปัญหาโดยมีกระบวนการรับฟังกัน กระบวนทำอย่างไรให้เป็นทางการ โดยผูกมัดด้วยว่า จะต้องนำสิ่งที่พูดคุยสู่การปฏิบัติได้ด้วยการพูดคุยสองฝ่าย จะทำให้ความชอบธรรมค่อยๆ เกิดขึ้น”