- Home
- Thaireform
- สารคดีเชิงข่าว
- ทั่วโลกขยับคิดทำการศึกษาใหม่ ถึงเวลาตั้งคำถาม ‘ระบบการศึกษาไทย’
แจ้งให้ทราบ
Current Item Layout Template is 'default-thaireform' does not exist
- Please correct this in the URL or in Content Type configuration.
- Using Template Layout: 'default'
ทั่วโลกขยับคิดทำการศึกษาใหม่ ถึงเวลาตั้งคำถาม ‘ระบบการศึกษาไทย’
ความเคลื่อนไหวที่นักการศึกษาจับตามองพิเศษ เกิดขึ้นที่ราชอาณาจักรภูฏาน เมื่อเร็วๆ นี้ มีนักการศึกษาทั่วโลกจาก 16 ประเทศ จัดประชุมเพื่อเริ่มคิดทำการศึกษาใหม่ แม้แต่สหรัฐอเมริกา ต้นแบบที่ประเทศไทยต่อท่อนำระบบการศึกษามาใช้ ก็พบอัตราความรุนแรงเกิดขึ้นกับนักเรียนในโรงเรียน เพิ่มขึ้นปีละ 30% โจทย์จึงมีอยู่ว่า หากปล่อยให้สถานการณ์เป็นเช่นนี้ต่อไป ในระบบการศึกษา เยาวชนที่จะสร้างขึ้นมาเป็นพลเมืองของโลก จะมีปัญหาตามมาอย่างแน่นอน
เมื่อคนในสังคมตะวันตกที่มีความเจริญทางด้านวัตถุอย่างสูง กำลังเริ่มหันกลับมาตั้งคำถาม พยายามสร้างเครื่องมือมาใช้ในระบบการศึกษา หันกลับมามองบ้านเรามีสิ่งดีๆ ภายใต้ระบบวัฒนธรรม ถึงเวลาต้องมาตั้งคำถามกับระบบการศึกษาอย่างเป็นจริงเป็นจังเสียที
ขณะที่การดำเนินการปฏิรูปอุดมศึกษารอบ 2 กำลังขับเคลื่อนไปให้สอดคล้องกับทิศทางการปฏิรูปการศึกษาของประเทศ โดยเห็นว่า แนวทางการเรียนรู้สู่การเปลี่ยนแปลง (Transformative Learning:TL) และจิตตปัญญาศึกษา (Contemplative Education) เป็นแนวทางการศึกษาแบบองค์รวม ที่พัฒนาความตระหนักรู้และการเรียนรู้มิติด้านในของตัวเอง จะนำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลงอย่างลึกซึ้งภายในตนเอง องค์กร และคาดว่าจะเป็นประโยชน์ต่อสังคมในระยะยาว
10 ปีล้มเหลว การศึกษาสร้างแต่คนเก่ง
สำหรับผู้ที่มีประสบการณ์ ทุ่มเททำงานเกี่ยวข้องกับระบบการศึกษาอย่างลึกซึ้ง เฉกเช่น นายอาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา ผู้อำนวยการโรงเรียนสัตยาไส ต.ลำนารายณ์ อ.ชัยบาดาล จ.ลพบุรี ที่สอนเด็กทำนา ปลูกข้าว ปลูกผักเอง จนได้รับคำชื่นชมนักเรียนมีชีวิตที่มีความสุข มองระบบการศึกษาในประเทศไทยที่นำแนวความคิดมาจากต่างประเทศ ทั้งสหรัฐฯ อังกฤษ ว่า เป็นระบบที่สร้างคนเก่งมุ่งเน้นการศึกษาที่ใช้สมองเป็นหลักมากเกินไป
“การที่ประเทศไทยจัดระบบการศึกษาตามประเทศต่างๆ เหล่านั้น แล้วคิดว่าการสร้างคนเก่งขึ้นมาเป็นเรื่องสำคัญ ขณะที่โรงเรียนก็สอนคนให้เก่งที่สุด เพื่อสอบแข่งขันเข้ามหาวิทยาลัย ส่วนมหาวิทยาลัยก็คัดเลือกเฉพาะคนเก่งที่สุด มีคะแนนสูงสุดเข้ามาในระบบ ซึ่งระบบที่แข่งขันกัน เอาชนะกัน สร้างคนเก่งขึ้นมากลับกลายสร้างปัญหาหลายอย่างตามมา ขณะที่ผู้บริหารสูงสุดในระบบการศึกษา ก็เปลี่ยนอยู่ตลอดอยู่ได้ไม่นาน แต่ละคนมีนโยบายแตกต่างกันจนสร้างความสับสนในระบบการศึกษา”ผอ.โรงเรียนสัตยาไส กล่าว
บางคนยังสงสัย “คนเก่ง” จะสร้างปัญหาอะไรตามมาบ้าง อาจารย์อาจอง ไล่เรียงให้เห็นชัดๆ ตั้งแต่คนเก่งไม่ชอบให้คนเก่งเท่า คนเก่งต้องพยายามเอาชนะผู้อื่นตลอดเวลา คนเก่งไม่ยอมช่วยเหลือคนไม่เก่งพยายามช่วยตัวเองเพื่อเอาชนะ นี่คือปัญหาประเทศชาติเรา ทุกวันนี้พบคนเห็นแก่ตัวมากขึ้น เยาวชนมีความเครียดสูงหันไปพึ่งยาเสพติด
พร้อมตั้งคำถามว่า นี่คือระบบอะไรในประเทศไทย “ระบบการศึกษา ถือว่าล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง จากที่พยายามปฏิรูปการศึกษาเมื่อ 10 ปีที่แล้ว มาประชุมวิเคราะห์ปรากฏว่า ทุกคนยอมรับล้มเหลว เพราะการศึกษาไปเน้นคนเก่งจึงเป็นที่มาต้องปฏิรูปการศึกษา รอบ 2”
เด็กร.ร.สัตยาไส ตัวอย่าง GNH
หากเราเปลี่ยนการศึกษาเน้น “ความดี” ก่อน สร้างคนให้เป็นคนดีเป็นมนุษย์ที่ดีเหนือสิ่งใด การทำเรื่องการศึกษาตามภูฎานที่เน้น GNH Gross National Happiness in Education อาจารย์อาจอง เห็นว่า ก็ไม่ต้องไปอายที่ประเทศไทยจะเดินตามประเทศเล็ก ๆ เหตุเพราะว่า การมุ่งเน้นความสุข สร้างคนให้มีความสุข สร้างคนดีเหนือสิ่งใด คนดีจะไม่คิดแบบคนเก่ง คนดีจะคิดถึงคนอื่นก่อน คิดถึงส่วนรวมสังคมประเทศชาติ และโลกทั้งโลกก่อน ที่สำคัญไม่เห็นแก่ตัว
จากปรัชญาของโรงเรียนสัตยาไส “ปลายทางการศึกษา คือ อุปนิสัยที่ดีงาม” อาจารย์อาจอง เล่าอย่างภาคภูมิใจว่า เด็กที่นี่ เป็นตัวอย่างของ GNH เด็กเป็นคนดียิ้มแย้มแจ่มใสมีความสุข ด้วยการเรียนการสอนไม่เน้นวิชาการ ไม่มีการติวพิเศษ ไม่ส่งเด็กไปกวดวิชา ทุกวันนี้เด็กสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ 100 % นี่คือสิ่งที่ปรารถนาสร้างคนดีเหนือสิ่งใดให้มีความสงบ ความสุขในชีวิตเสร็จแล้วเมื่อออกไปก็จะช่วยประเทศชาติช่วยสังคมให้ดีขึ้น
เคยมีงานวิจัยของอาจารย์อาจอง ทำไว้พบมีปัจจัย 2 อย่างในการสร้างคนดี คือ 1.ครูดี เป็นปัจจัยสำคัญที่สุด โดยคุณสมบัติต้องเป็นครูที่พูดทุกอย่างออกมาจากใจ สร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้ฟัง 2. ที่ขาดไม่ได้ คือ การฝึกสมาธิ ต้องยกระดับจิตใจผู้เรียนให้สูงขึ้นเพราะหากไม่ฝึกสมาธิเด็กก็จะไม่มีการเปลี่ยนแปลง ทั้งหมดระบบการศึกษาของไทย จึงต้องช่วยกันตั้งแต่อนุบาล ประถม มัธยมศึกษา ช่วยกันตั้งแต่ระดับโรงเรียน แล้วป้อนคนดีเข้าสู่มหาวิทยาลัย
การศึกษาต้องทำหน้าที่ กระตุ้นให้คนตื่นรู้
หันไปฟังความเห็นของผู้หญิงที่มีความพยายามสร้างสังคมเล็กๆ เพื่อเป็นแบบอย่างให้สังคมโลก รองศาสตราจารย์ ประภาภัทร นิยม รองอธิการบดีฝ่ายวิชาการและวิจัยสถาบันอาศรมศิลป์ ผู้บุกเบิกโรงเรียนต้นแบบการศึกษาทางเลือก ผลิตบัณฑิตต้นแบบ ที่เน้นการเรียนรู้ที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงภายในจิตใจอย่างใคร่ครวญ
อาจารย์อ๋อย เล่าที่ไปที่มาแนวคิดทำเรื่องการศึกษาเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว เพราะไม่รู้ว่าเป็นเรื่องยากนึกว่าเรื่องการศึกษาเป็นเรื่องง่าย อยากเห็นอะไรก็ทำได้เลย แต่เมื่อทำแล้วถึงทราบความเป็นจริงอย่างลึกซึ้งว่า คนที่จะมาทำเรื่องการศึกษา ต้องมีความเคลื่อนไหวระดับจิตวิญญาณของตัวเอง ต้องตื่นพอที่จะมองเห็นความเปลี่ยนแปลงโดยรอบของคน สังคม การเปลี่ยนแปลงการเคลื่อนไหวต่างๆ ที่ไม่ได้อยู่นิ่ง เหมือนเดิม เหมือนที่เราคิดอีกแล้ว
แต่สำหรับประเทศไทย อาจารย์อ๋อย บอกว่า ไม่ค่อยรู้ว่าจะต้องเปลี่ยนอะไรบ้าง นี่คือจุดแรกที่การศึกษาไม่ทำให้เรารู้ เราต้องตื่นให้เป็น เป็นจุดแรกของ Transformative Learning ไม่เช่นนั้นเราก็จะหลับ ทำอย่างที่เคยทำ สอนอย่างที่เคยสอน รู้เท่าที่เรารู้
ยุคทศวรรษที่ 21 การเปลี่ยนแปลงถึงจุดสูงสุดแล้ว อาจารย์อ๋อย ตั้งคำถามให้คิดว่า เรารู้หรือไม่จะทำอย่างไรกับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป ยิ่งคิดถึงอนาคตลูกหลานที่จะรับมือกับโลกข้างหน้า หากเราตื่นพอจะรู้ว่า สิ่งที่เราสอนอยู่ ไม่ใช่ ไม่ทันแล้ว การศึกษาต้องทำหน้าที่กระตุ้นให้คนรู้ ตื่นขึ้นมา รู้วิธีการเปลี่ยนแปลง
3 ข้อใหญ่เรียนรู้สู่การเปลี่ยนแปลง
ผู้บุกเบิกโรงเรียนต้นแบบการศึกษาทางเลือก เสนอว่า สิ่งแรกเปลี่ยนตัวเราเอง เปลี่ยนระบบการคิดให้เชื่อมโยง สิ่งเหล่านี้อยู่ในเรื่องการพัฒนามนุษย์ทั้งสิ้น หันมองกลับไปที่โรงเรียน สอนหรือบ่มเพาะสิ่งเหล่านี้หรือไม่ ขณะที่คนต้องมีคุณภาพจากภายในที่พร้อมจะเรียนรู้ หากจะถามหาการเปลี่ยนแปลง อาจารย์อ๋อย มั่นใจสิ่งนี้พัฒนาได้ตลอดเวลา หากการศึกษารู้ว่า นี่คือหน้าที่ บทบาทของการศึกษา
เรื่องที่สอง คือ การเรียนรู้ต้องเรียนจากสถานการณ์จริง จากสิ่งที่เกี่ยวข้องกับชีวิต เราจะเติบโตดำรงชีวิตอยู่กับผู้คนอย่างไรต้องเรียนจากสถานการณ์จริง แต่หากเรียนผ่านสิ่งที่คนอื่นบันทึก วิเคราะห์เอาไว้ เกิดขึ้นนานมากแล้วเราก็จะไม่มีวันรู้ทันว่า ขณะนี้เกิดอะไรขึ้น
โรงเรียนทิศทางใหม่ทางการศึกษา มุ่งพัฒนาการเรียนรู้สู่ความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ โรงเรียนรุ่งอรุณเป็นโรงเรียนเอกชน ที่ไม่มุ่งเน้นแสวงหาผลกำไร ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของมูลนิธิโรงเรียนรุ่งอรุณและเป็นฐานการเรียนรู้บนการงานจริง (Problem-Based Learning) อาจาร์อ๋อย เล่าว่า เด็กที่นี่กำลังมีโครงการพาช้างกลับบ้าน แค่เด็กมัธยมศึกษาปีที่ 4 และ5 คิดได้แล้ว เรียนรู้ทุกมิติของสังคมทั้งการเมืองสภาพแวดล้อม ผู้คน ความคิด ความเชื่อ 1 เรื่องของเรื่องจริง เรียนได้ทุกวิชา
นี่คือตัวอย่าง การเรียนจากเรื่องจริง ขนาดเด็กอนุบาลก็ทำกับข้าวเป็นแล้ว สามารถเอาตัวรอดได้ รวมทั้งการดูแลให้โลกอยู่อย่างปกติสุข ไม่เป็นผู้สร้างขยะ เพราะทุกคนรู้ว่าขยะมาจากตัวเรา เหล่านี้ได้จากการทำจริงทั้งสิ้น
การเรียนรู้สู่การเปลี่ยนแปลง เรื่องสาม “การสื่อสารที่เป็นสาระ” รศ.ประภาภัทร บอกว่า มีประโยชน์เพราะเป็นการแลกเปลี่ยนความรู้กัน การเรียนรู้จากคนอื่นเป็นการเรียนได้เร็วกว่าเรียนในตำรา เป็นทางลัดหากเราเข้าใจการสื่อสารจะได้สาระ สนุกกับการเรียนรู้จากผู้คน
สุดท้ายที่นำเสนอมาทั้งหมด รศ.ประภาภัทร พบว่า กุญแจความสำเร็จของระบบการศึกษาอยู่ที่ครูและพ่อแม่ อย่างไรก็ตาม หากจะให้ประเทศไทยมีการเปลี่ยนแปลงต้องมาจากผู้บริหารระดับบน จึงจะประสบผลสำเร็จ เช่นภูฎาณ ที่ผู้บริหารทุกระดับ เข้าใจเรื่องการศึกษาละเอียด เอาจริงเอาจัง แตกต่างจากของไทยที่ขยับมาจากข้างล่าง
สอดคล้องกับ Dasho Krama Ngawang Ura ประธานศูนย์ภูฏาณศึกษา ราชอาณาจักรภูฏาณ ที่เห็นว่า การสร้างการเรียนรู้สู่การเปลี่ยนแปลงได้ ต้องเปลี่ยนที่ตัวครู อาจารย์ก่อน พร้อมเสนอแนะครู อาจารย์ ไม่ควรยึดติดกับตำรา หรือสอนรูปแบบเดิมๆ มิเช่นนั้นการเปลี่ยนแปลงจะทำได้ยาก อีกทั้งต้องพัฒนาครูให้มีทักษะในการสื่อสาร รวมทั้งการขับเคลื่อนต้องคิดทุกองคาพยพของสังคม ทั้งกลไก ถึงจะเป็นหนทางนำความสุขไปสู่ระบบการศึกษา
เป้าหมายสุดท้ายคือการสร้างสันติสุขให้กับโลก
สำหรับผู้ขับเคลื่อนคนสำคัญ นำเรื่องการเรียนรู้สู่การเปลี่ยนแปลง หรือ TL มาสู่ระบบการจัดการศึกษาที่มหาวิทยาลัยมหิดล ศ.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา อดีตผอ.รพ.ศิริราช ปัจจุบันดูและเรื่องทรัพยากรมนุษย์ ที่มหาวิทยาลัยมหิดล เล่าถึงสิ่งที่มหิดลกำลังทำ เพื่อทำให้นักศึกษาเรียนรู้ที่จะทำให้เกิดภาชนะที่จะใส่ของ ดังบทที่ 11 ในคัมภีร์เต๋าเต๋อจิง “เราสามารถเอาดิน มาปั้นให้เป็นชาม ผ่านกระบวนการทำสิ่งที่ไม่มีค่า ให้มีค่า”
แต่การศึกษาไทยในอดีตที่ทำมา ขาดช่วงตรงนี้ ศ.นพ.ประสิทธิ์ บอกว่า หลายคนยึดติด สิ่งที่มาทำให้เกิดชาม ต้องกินอาหารที่เกิดจากชามดินที่มาจากที่ใดที่หนึ่ง สร้างด้วยโลหะมีค่า ลวดลายที่สวยงาม แต่เราไม่ได้สอนนักศึกษาว่า “จริงๆ ชามหนึ่งชาม ประโยชน์ไม่ได้อยู่ที่วัตถุที่ทำชาม อยู่ที่ช่องว่างที่อยู่ในชาม ที่ให้เกิดประโยชน์”
สำหรับการศึกษาเป้าหมายสุดท้าย อาจารย์ประสิทธิ์ ระบุว่า คือการสร้างสันติสุขให้กับโลก และเพิ่มคุณภาพชีวิตให้กับประชากรโลก การสอนให้คนรู้จักใช้ความรู้ ไม่ใช่เรื่องง่าย ที่สังคมโลกเกิดปัญหาก็เกิดจากการไม่รู้จักใช้ความรู้ให้ถูกทิศถูกทาง ฉะนั้นการทำให้นักศึกษาเกิดความรู้ที่เกิดจากการหลุดพ้น และไปใช้ความรู้อื่นๆ ให้เกิดประโยชน์จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนนักศึกษา เพราะตั้งแต่เล็กจนโตไม่ได้ถูกสร้างให้มีความคิดแบบนี้ต้องอาศัยกระบวนการเปลี่ยนมาเป็นนักศึกษา ให้ได้บัณฑิต กล้า เก่ง ดี และมีความสุข
“มหิดลใช้หลักการ Transformative Learning แฝงเข้าไปในกระบวนการศึกษา ปลูกฝัง M – Mastery A – Altruism H – Harmony I – Integrity D – Determination O – Originality L – Leadership” ศ.นพ.ประสิทธิ์ บอกว่า 7 ตัวนี้ถูกร้อยเรียงสร้างบัณฑิต ให้ กล้า เก่ง ดี และมีความสุข การดำรงตนเพื่อผู้อื่น ไม่ใช่การดำรงตนเพื่อตนเอง การจะทำอะไรเพื่อผู้อื่น MAHIDOL คือเป้าหมายปลายทางของกระบวนการ Transformation