- Home
- Thaireform
- หลากมิติ
- การศึกษา เด็ก และเยาวชน
- เอกสารประกอบการสัมมนา เรื่องการปฏิรูปการเรียนรู้ : ยุทธศาสตร์การขับเคลื่อน จาก เวทีปฏิรูปประเทศไทย เพื่อสุขภาวะคนไทย” ครั้งที่ ๑๑ วันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๕๒
เอกสารประกอบการสัมมนา เรื่องการปฏิรูปการเรียนรู้ : ยุทธศาสตร์การขับเคลื่อน จาก เวทีปฏิรูปประเทศไทย เพื่อสุขภาวะคนไทย” ครั้งที่ ๑๑ วันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๕๒
การปฏิรูปการเรียนรู้ : ยุทธศาสตร์การขับเคลื่อน
ดร.สีลาภรณ์ บัวสาย
รองผู้อำนวยการ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย
เอกสารประกอบการสัมมนา
เวทีปฏิรูปประเทศไทย เพื่อสุขภาวะคนไทย” ครั้งที่ ๑๑ วันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๕๒
ปัญหาการศึกษา : มุมมองเชิงระบบ
ปัญหาการศึกษาทุกวันนี้ (พ.ศ. 2552) หนักกว่าเมื่อ 30 ปีก่อน เมื่อครั้งปฏิรูปการศึกษา ปี 2517 หลายเท่าไม่ใช่เพราะครูไทยแย่ลงอย่างมาก หรือเด็กไทยฉลาดน้อยลงอย่างกระทันหัน แต่เพราะเหตุผล 2 ประการ
หนึ่ง คือโลกเปลี่ยน ข้อมูลความรู้ท่วมท้นมหาศาลที่สามารถเข้าถึงคนทุกเพศทุกวัยได้รวดเร็วด้วยอำนาจของเทคโนโลยีสื่อสาร ทำให้แม้แต่คนที่ฉลาดที่สุดก็ยังรู้สึกว่าตัวเองไม่รู้และตามไม่ทัน ความรู้ที่เคยคิดว่า “รู้” แล้วทำให้เป็นคนมีค่า (ตัว) หางานดีๆได้นั้น กลายเป็นความรู้ที่ล้าสมัยได้ภายใน 6 เดือน หรืออย่างช้าไม่เกิน 2 ปี สิ่งที่ต้องการสำหรับโลกยุคนี้ไม่ใช่ตัวเนื้อหาความรู้ (body of knowledge) มากเท่ากับความสามารถในการเรียนรู้และเลือกใช้ข้อมูลความรู้ให้เป็น (learning & judgement capability)
สอง คือระบบไม่เปลี่ยน หรือเปลี่ยนไม่ทันกับ demand ที่เปลี่ยนไป ระบบการศึกษาของไทยเป็นระบบที่ใหญ่มาก มีคนทำงานอยู่กว่า 600,000 คน นับเป็นส่วนที่ใหญ่ที่สุดเกือบหนึ่งในสามของระบบราชการไทย มีแรงเฉื่อยที่ทำให้เคลื่อนที่แบบปรู๊ดปร๊าดไม่ได้ การปรับตัวของระบบจึงช้า หากเปรียบกับเรือก็เหมือนเรือขนาดใหญ่มากที่วิ่งช้าๆ อยู่ในลำน้ำที่แคบ เมื่อมาถึงจุดจะต้องหักเลี้ยว ทุกคนบนเรือก็เห็นว่าจะต้องเลี้ยว แต่มันเลี้ยวไม่ได้ คนที่ทนไม่ไหวก็หันไปต่อเรือลำเล็กแล้วปล่อยลงน้ำแล่นเลี้ยวไปกันเอง คือกลุ่มการศึกษาทางเลือกทั้งหลาย คนที่ยังอยู่บนเรือใหญ่ก็ใช่จะมีความสุข ปัญหาคือไม่รู้จะเริ่มต้นปรับระบบจากจุดไหน เพราะแม้ระบบการศึกษาจะใหญ่โตมาก แต่ก็ได้ทำให้สมาชิกของระบบกลายเป็นมดปลวก ตัวเล็กตัวน้อย มองไม่เห็นความเชื่อมโยงของระบบย่อยในระบบใหญ่และไม่สามารถมีพลังสร้างการเปลี่ยนแปลงระบบทั้งหมดได้ด้วยตัวเอง
นี่เป็นปัญหาเชิงระบบว่า เมื่อระบบการผลิต(คน)เช่นนี้ตอบสนองความต้องการของตลาดไม่ได้ เราจะเปลี่ยนระบบการผลิตให้มีโครงสร้างอย่างไร จะสร้างกระบวนการเปลี่ยนผ่านอย่างไร จะดึงพลังของด้านดีที่ยังมีอยู่ในตัวสมาชิกของระบบมาเป็นพลังสร้างสรรค์การเปลี่ยนแปลงให้เกิดคุณภาพของคนและการเรียนรู้ได้อย่างไร
บทวิเคราะห์นี้จะพยายามให้ภาพการวิเคราะห์ปัญหาเชิงระบบ และเสนอยุทธศาสตร์การปรับเปลี่ยนระบบการศึกษาของไทย
1. ปัญหาการเล็งเป้า
การเล็งเป้าหมายให้ชัดเป็นเงื่อนไขสำคัญของการเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงของระบบ หากเราเล็งเป้าไม่ชัด การทำงานจะไปหยิบเอาเรื่องทุกเรื่องมากองรวมกัน พยายามแก้ทุกจุด ยิ่งแก้ก็ยิ่งพันกันเหมือนลิงแก้แห เป้าหมายจะเป็นตัวให้น้ำหนักกับเรื่องต่างๆ เองว่าเรื่องไหนสำคัญกว่าเรื่องไหน เรื่องไหนควรทำก่อนและจะเชื่อมโยงกับอีกเรื่องอย่างไร
เป้าที่แท้จริงของระบบการศึกษาอยู่ที่ตัวเด็กผู้เรียน หรือถ้าพูดให้ชัดกว่านั้นคือ อยู่ที่คุณภาพของประสบการณ์การเรียนรู้ที่เด็กควรจะได้รับ ไม่ใช่อยู่ที่ครู หลักสูตร สื่อ โรงเรียน เขตพื้นที่การศึกษา หรือกระทรวง ซึ่งเป็นเพียงบางปัจจัยเท่านั้นของการสร้างคุณภาพที่เราต้องการ โครงการพัฒนาการศึกษาทั้งหลายต้องทำงานกับปัจจัยที่แวดล้อมตัวเด็กเหล่านี้ แต่แต่ละโครงการส่งผลโดยตรงต่อเด็กไม่เหมือนกันและไม่เท่ากัน
ข้อพิจารณาที่สำคัญในการเล็งเป้าให้ตรงนี้คือ การพิจารณาว่าสิ่งที่เราทำ โครงการที่ริเริ่มขึ้น หรือนโยบายที่ผลักดันอยู่นั้น มีเด็กเป็นเป้าที่ได้รับความสำคัญเป็นอันดับแรกหรือเปล่า ทำอย่างไรจะทำให้เด็กได้รับประโยชน์โดยตรงได้เร็วและมีคุณภาพ โดยเสียเวลาและทรัพยากรในการจัดการกับปัจจัยที่แวดล้อมตัวเด็กให้น้อยที่สุด
ตัวอย่างที่ชัดเจนหนึ่งคือนโยบายปฏิรูปการศึกษาเมื่อปี 2540 ที่เน้นเรื่องการปรับโครงสร้างระบบการศึกษาโดยทำเรื่องการสร้าง “ระบบ 5 แท่ง” แทน “ระบบองค์ชาย 14” ในส่วนกลาง และการทำให้เกิด “เขตพื้นที่การศึกษา” ซึ่งก็เป็นความพยายามหนึ่งในการทำให้ขนาดของระบบเล็กลงพอที่จะดูแลคุณภาพการศึกษาที่จัดให้กับเด็กได้ แต่ปรากฏว่า พอทำไปแล้วกลับต้องมาทุ่มเทเวลา คน ทรัพยากรกับการปรับโครงสร้างเขตพื้นที่เสียจนลืมเด็กไปเลย จนกลายเป็นยิ่งปฏิรูปยิ่งมีนักบริหารมากขี้น มีคนได้ตำแหน่งระดับ 9 10 11 เพิ่มขึ้นเยอะมาก ครูเก่งจำนวนหนึ่งกลายไปเป็นผู้บริหาร ทรัพยากรถูกเทลงไปเพื่อปรับและสร้างเขตพื้นที่การศึกษาให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งย่อมหมายถึงว่าทรัพยากรที่จะลงไปสู่การปรับคุณภาพของการจัดกระบวนการเรียนรู้ กิจกรรม สื่อต่างๆให้เด็กย่อมจะมีน้อยลงเพราะถูกแบ่งแย่งไป เด็กจึงอยู่ในสภาพที่ลีบลง ถูกทอดทิ้งและขาดโอกาสการได้รับประสบการณ์การเรียนรู้ที่ดี
เราคงไม่ปฏิเสธว่าการทำให้ระบบมีขนาดเล็กลงเป็นเรื่องสำคัญและจำเป็น แต่รูปแบบและแนวทางในการทำให้ระบบมีขนาดเล็กลงจะต้องมองเห็นเด็กอยู่ตรงเป้าศูนย์กลางอยู่ตลอดเวลา มิฉะนั้นแล้วเวลายิงอะไรออกไปก็ตามจะไม่เข้าเป้า เพราะเราไม่ได้เล็งเป้านั้นไว้ตั้งแต่แรก เรื่องของขนาดของระบบนี้เป็นประเด็นสำคัญซึ่งจะได้กล่าวถึงต่อไป
อันที่จริงแล้ว เวลาที่มีการริเริ่มโครงการพัฒนาการศึกษาใหม่ๆทุกครั้ง ก็มักจะอ้างว่าทำเพื่อพัฒนาการศึกษาสำหรับเด็ก บ้างก็โดยตรง บ้างก็โดยอ้อม ปัญหามักจะอยู่กับโครงการ “โดยอ้อม” ซึ่งมักจะวิ่งอ้อมไปจนหมดแรงหมดเงินหมดเวลาไปกับการวิ่งอ้อมนี้ เราน่าจะลองเอาโครงการพัฒนาการศึกษาที่มีอยู่มากมายหลากหลายมาวิเคราะห์และทาบบนแผนภาพเป้าหมายที่มีเด็กอยู่ตรงศูนย์กลางนี้ เพื่อดูว่าโครงการเหล่านั้นพุ่งตรงไปหาเด็กหรือเปล่า อยู่ใกล้หรือไกลเป้าเพียงใด ซึ่งจะทำให้เห็นได้เองว่าเรื่องนั้นๆ สมควรทำหรือไม่ หรือควรปรับอย่างไรเพื่อให้ส่งผลดีไปถึงตัวเด็ก/คุณภาพการเรียนรู้ของเด็กได้โดยตรง และถ้าจำเป็นต้องวิ่งอ้อม เราควรจะให้เวลากับการวิ่งอ้อมนี้ไม่เกินเท่าไรจึงจะยอมรับได้ว่าไม่ได้วิ่งไปผิดทาง
2. ปัญหาครูดีครูเก่งหลุดออกจากระบบ
การปฏิรูประบบราชการที่เน้นการลดกำลังคนในระบบราชการส่งผลกระทบที่รุนแรงต่อระบบการศึกษา เพราะในจำนวนข้าราชการ ราว 2 ล้านคนนั้น เป็นครูเสียประมาณ 6 แสน หรือเกือบ 1 ใน 3 ทีเดียว มีครูจำนวนมากที่สมัครเข้าโครงการ Early retire การลดขนาดของระบบราชการนี้ได้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อคุณภาพการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการเองก็ยอมรับว่าได้เสียครูดีครูเก่งไปเป็นจำนวนมากภายใต้โครงการนี้ ปัญหาคงไม่ได้อยู่ที่โครงการ Early retire แต่คำถามคือ ทำไมครูดีครูเก่งไม่อยากอยู่ในระบบอีกต่อไป และคว้าโอกาสแรกที่ลอยมาถึงในการออกไปเสียจากระบบ มันเกิดอะไรขึ้นในระบบนี้
“คน” เป็นองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดของ “ระบบ” เพราะเป็นทั้งผู้สร้างระบบและผู้พัฒนาระบบ ยิ่งโลกหมุนเข้าสู่ยุคขัอมูลความรู้ท่วมท้น ระบบและองค์กรยิ่งต้องอาศัย “คน” ในการเรียนรู้และปรับตัวเพื่อพัฒนาองค์กร เราจะเห็นองค์กรในภาคธุรกิจที่ต้องปรับตัวเร็วพูดถึงแนวคิดเรื่อง Learning organization, teamwork, systems thinking, shared vision ฯลฯ ซึ่งล้วนเป็นเรื่องเกี่ยวกับคน คนและประสบการณ์ของเขาที่สั่งสมผ่านการทำงานมาหลายๆ ปีกลายเป็นสินทรัพย์ที่สำคัญขององค์กร องค์กรที่จะก้าวไปกับโลกยุคใหม่จะพยายามหาทางเก็บเกี่ยวดอกผลจากประสบการณ์ของคนทำงานเพื่อหาข้อเสนอต่อการปรับปรุงและพัฒนาองค์กร
แต่ “ครู” ในฐานะกำลังและสินทรัพย์ที่สำคัญของระบบการศึกษาไม่ได้ถูกมองเช่นนั้น
ในระบบการศึกษาไทย ครูอยู่ที่ปลายด้านล่างสุดของสายอำนาจสั่งการ ระบบไม่ได้เอื้อให้ครูสร้างนวัตกรรมได้ง่ายๆ ครูที่กล้าแหวกแนวและรักเด็กจริงๆเท่านั้นจึงจะสามารถสร้างนวัตกรรมในการจัดการเรียนการสอนได้ ยิ่งไปกว่านั้น ครูที่ได้รับการยกย่องมีจำนวนน้อย และแม้เมื่อได้รับการยกย่อง ก็ไม่ได้รับการหนุนเสริมให้นวัตกรรมของครูท่านนั้นได้ขยายวงเรียนรู้กับครูอื่นๆ และไม่ได้ยกระดับขึ้นไปอีก สรุปสั้นๆว่า ระบบไม่ได้ให้การหนุนเสริมครูดีครูเก่งทั้งโดยการสร้างแรงจูงใจและโดยการหนุนเสริมกระบวนการขยายผลและยกระดับการเรียนรู้ของครู
ยิ่งไปกว่านั้น ครูที่จะได้รับการเลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่งยังต้องเอาเวลามานั่งเขียนผลงาน และเป็นที่รู้กันว่าครูน้อยต้องเขียนผลงานให้ครูใหญ่ด้วย ระบบได้วางเงื่อนไขของการเลื่อนขั้นตำแหน่งของครูให้แย่งเวลาของครูไปจากเด็ก และทำผลงานปลอม ๆ ที่ฝืนกับมโนธรรมสำนึกของครู จึงไม่แปลกที่ครูดีครูเก่งไม่อยากอยู่ในระบบ
นอกจากนี้ ในโรงเรียนขนาดกลาง-เล็ก (มีนักเรียนต่ำกว่า 235 คน)ราว 20,000 โรง ยังอยู่ในสภาพการทำงานที่ทารุณ เพราะมีครูไม่ถึง 10 คน ที่จะคุมชั้นเรียน 10 ชั้นได้ในเวลาเดียวกัน โรงเรียนเหล่านี้เมื่อได้รับการประเมินจาก สมศ. ก็มักจะไม่ผ่าน เรามีครูที่อยู่ในสภาพการทำงานเช่นนี้เกือบ 200,000 คน ต้องสอนควบชั้น สอนไม่ตรงวิชาที่เรียนมา สอนแทนกัน เสาร์อาทิตย์ก็ต้องไปอบรม สภาพการทำงานเหล่านี้ทำให้ครูดีครูเก่งที่ทนระบบอันใหญ่โตเทอะทะไม่ไหวลาออกไปก่อน ยิ่งระบบไม่ได้แสดงให้เห็นว่าเห็นคุณค่าของความรู้ประสบการณ์และความเสียสละทุ่มเทของเขา ระบบยิ่งไม่สามารถรักษาครูดีครูเก่งเอาไว้ได้ ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อคุณภาพการจัดการเรียนการสอนกับเด็ก
3. ปัญหาของระบบปิด
ระบบการศึกษาปิดหูตัวเองจากเสียงเรียกร้องของสังคมและการเปลี่ยนแปลงของโลกภายนอก
ปรากฎการณ์นี้เห็นได้ชัดมากในระดับอุดมศึกษา มหาวิทยาลัยเปิดสอนวิชาแปลกพิสดารอย่างไรก็ได้ถ้ามีคนสอนและมีคนเรียน ส่วนคนเรียนแล้วจะเอาไปทำงานได้แค่ไหนไม่ใช่เรื่องของอาจารย์หรือมหาวิทยาลัย เป็นปัญหาที่หน่วยงานหรือบริษัทต้องไปหาทางพัฒนาเจ้าหน้าที่พนักงานเอาเอง เกิดต้นทุนในการพัฒนาคนนอกระบบการศึกษาซ้ำซ้อนขึ้นมา ระบบการศึกษาไม่ต้องรับผิดชอบกับการผลิตคนที่ทำงานไม่ได้ เช่น ขาดการคิดเชิงตรรกะเหตุผลเพราะอ่อนคณิตศาสตร์ เขียนรายงานการประชุมไม่ได้เพราะวิชาเรียงความไม่มีการสอบหรือข้อสอบเป็นปรนัย คิดไม่เป็นระบบ วางแผนไม่เป็นเพราะขาดการฝึกคิด นอกจากนี้ ระบบการศึกษายังไม่ต้องรับผิดชอบด้วยเมื่อผลผลิตของระบบหางานทำไม่ได้
ยิ่งเมื่อโลกเปลี่ยน ทุกหน่วยงานและแหล่งจ้างงานล้วนต้องการพนักงานที่มีทักษะการเรียนรู้สูงขึ้น มากกว่าเพียงมีความรู้เฉพาะด้านเฉพาะสาขาที่เรียนมา หมายถึงมีทักษะการตั้งคำถาม การหาข้อมูล การตรวจสอบความน่าเชื่อถือของข้อมูล การสรุป การสังเคราะห์ การวิเคราะห์ระบบและความเชื่อมโยง เหล่านี้เป็นทักษะที่จำเป็น และเป็นสิ่งที่โลกภายนอกเรียกร้องจากระบบการศึกษา
ข้อเรียกร้องหลักจากสังคมไทยตั้งแต่ยุคปฏิรูปการศึกษาไทยในสมัยรัชกาลที่ 5 คือการผลิตคนที่ก้าวทันโลกและความรู้สากลวิทยาการก้าวหน้า ต่อมาในช่วงตั้งแต่ราว พ.ศ. 2535 เป็นต้นมาก็เริ่มมีเสียงเรียกร้องให้ระบบการศึกษาเน้นการเรียนรู้ในชีวิตจริงที่สัมพันธ์กับท้องถิ่นและปฏิบัติการจริงให้มากขึ้น ข้อเรียกร้องนี้ถ้าเรียกให้เก๋ก็เรียกว่า “มือแตะดาว เท้าติดดิน”
อย่างไรก็ตาม การตอบสนองจากระบบการศึกษากลับอยู่ในสภาพครึ่งๆ กลางๆ เราจะเห็นลูกคนกรีดยางที่เมื่อเรียนจบชั้นมัธยมแล้วกรีดยางไม่เป็น มุ่งแต่จะไปหางานทำในเมือง เพราะไม่ได้ถูกฝึกให้มีฝีมือที่จะมีอาชีพหรือสร้างอาชีพในท้องถิ่นของตนได้ เด็กอีกจำนวนหนึ่งก็ไปเรียนต่อเพราะความรู้ที่จบชั้นมัธยมมาทำให้เขาลงไปติดดินก็ไม่ได้ จะคว้าดาวก็ไม่ถึง แต่แม้จะจบมหาวิทยาลัยแล้วก็ยังไม่มีทักษะการเรียนรู้ที่ดี ทำให้หางานได้ยาก หรือมิฉะนั้นนายจ้างก็ต้องเอาไปฝึกใหม่เอาเอง ปัจจุบันเราจะเห็นบริษัทหรือธุรกิจใหญ่ๆ เริ่มสร้างโรงเรียนฝึกคนของตัวเอง เช่น ปูนซีเมนต์ไทย เครือเจริญโภคภัณฑ์ เป็นต้น นี่เป็นสัญญาณบ่งบอกที่ชัดเจนว่าระบบการศึกษาตอบสนองการสร้างคุณภาพคนตามที่ภาคการผลิตต้องการไม่ได้
นอกจากนี้ ระบบการศึกษายังสร้างเกราะคุ้มกันให้สถานศึกษาไม่จำเป็นต้องแข่งขันกันพัฒนาคุณภาพด้วย ยกเว้นสถานศึกษาของเอกชน ในด้านหนึ่งเราจะเห็นเด็กไทยที่เรียนประถม 4 แล้วยังอ่านหนังสือไม่แตก ขณะที่เด็กไทยอีกกลุ่มหนึ่งก็ไปคว้ารางวัลโอลิมปิกวิทยาศาสตร์มาทุกปี โรงเรียนของรัฐมีหลากหลายคุณภาพแต่ไม่ต้องแข่งกันพัฒนาคุณภาพ ตรงกันข้าม เด็กต่างหากที่ต้องแข่งกันหาทางให้ได้เข้าเรียนในโรงเรียนที่มีชื่อว่ามีคุณภาพ
สภาพเหล่านี้สะท้อนให้เห็นปัญหาของการขาดกลไกและพื้นที่ที่บังคับให้ระบบต้อง “ฟัง” เสียงจากข้างนอก ให้สังคมภายนอกได้ให้ข้อมูลป้อนกลับเพื่อปรับปรุงการจัดการศึกษาของสถานศึกษาโดยตรง และขาดการสร้างแรงจูงใจให้สถานศึกษาพยายามพัฒนาคุณภาพเพื่อตอบสนองต่อข้อเรียกร้องเหล่านั้น โดยผูกให้โยงกับความเป็นความตายของสถานศึกษา เช่น หากสถานศึกษาจัดการศึกษาได้ไม่ดี เด็กไม่มีคุณภาพ จบแล้วไม่มีงานทำ ผู้ปกครองก็จะส่งลูกหลานไปที่อื่นแทน และโรงเรียน (หรือภาควิชา)จะต้องถูกยุบ นี่เป็นการสร้างวงจร (loop) เพื่อบังคับให้การจัดการศึกษาต้องมีคุณภาพ มิฉะนั้นจะต้องยุบตัวไปเอง
ยุทธศาสตร์การสร้างการเปลี่ยนแปลง
1. ยุทธศาสตร์สร้างความร่วมมือในพื้นที่ (Area-Based Collaboration)
การจะปฏิรูประบบการศึกษาอันใหญ่โตเทอะทะที่ไม่ค่อยฟังเสียงจากสังคมและผู้จ้างงานได้นั้น จำเป็นต้องทำให้ระบบมีขนาดเล็กลงพอที่จะจัดการได้ (manageable size) และมีเวทีและโอกาสให้ภาคส่วนต่างๆ เข้ามาร่วมกำหนดทิศทาง ร่วมสนับสนุน และร่วมรับผิดชอบผลที่เกิดขึ้น ภายใต้ยุทธศาสตร์นี้ มีประเด็นสำคัญที่ต้องทำความเข้าใจ คือ 1) เรื่องของขนาดพื้นที่ และ 2) เรื่องของการระดมทรัพยากรในพื้นที่มาร่วมกันพัฒนาคุณภาพการศึกษา
1) เรื่องของขนาดพื้นที่ ดังได้กล่าวแล้วว่าระบบการศึกษามีขนาดใหญ่มาก มีโรงเรียนอยู่ในความดูแลกว่า 30,000 โรง โรงเรียนเหล่านี้มีความหลากหลายแตกต่างกันมาก เวลาจะจัดการอะไรด้วยนโยบายหรือข้อสั่งการแบบเหมาโหล (one size fits all) ก็จะเกิดเสียงบ่นก่นว่ากระหึ่มไปทั่ว ระบบไม่สามารถดูแลโรงเรียนเหล่านี้ได้ทั่วถึงแบบ tailor-made เพราะจำนวนโรงเรียนเยอะเกินไป (เหมือนแม่เต่าทะเลไข่คราวละ 50 ฟอง ไม่สามารถดูแลลูกให้ทั่วถึงได้ ธรรมชาติจึงจัดการให้แม่เต่าไข่เสร็จแล้วก็ลงทะเลไป โดยสัญชาติญาณแม่เต่าจะไม่สนใจดูว่าลูกจะฟักออกมาได้ทั้งหมดหรือเปล่า ใครมาขโมยไข่หรือมีสัตว์มาเอาไข่ไปกินหรือไม่ จะรอดตายสักกี่ตัว แต่สัตว์โลกอีกหลายชนิดที่มีลูกจำนวนน้อย ก็มักมีสัญชาติญาณรักและหวงลูก คอยดูแลปกป้องอันตรายให้ลูก)
การลดขนาดของระบบจัดการลงมานั้น จริงๆ แล้วมีหน่วยจัดการได้หลายขนาด เดิมก่อนการปฏิรูปการศึกษา ปี 2540 เราก็มีระบบศึกษาธิการจังหวัดในสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ หน่วยจัดการเป็น “จังหวัด” พอหลังการปฏิรูป เกิดระบบเขตพื้นที่การศึกษาอยู่ในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาพื้นฐาน หน่วยจัดการเป็น “เขตพื้นที่” ซึ่งดูเหมือนจะมีขนาดใกล้เคียงกันมากขึ้น ไม่แตกต่างกันเหมือนจังหวัด ซึ่งมีจำนวนโรงเรียนที่ต้องดูแลแตกต่างกันมาก อย่างไรก็ดี การเปลี่ยนหน่วยจัดการนี้ก็ทำให้คนทำงานที่ถูกโยกย้ายมาอยู่ที่สำนักงานเขตพื้นที่รู้สึกไม่มั่นคง และมีเสียงสะท้อนว่าสำนักงานเขตพื้นที่ดูแลโรงเรียนไม่ทั่ว โดยเฉพาะกลุ่มโรงเรียนเอกชน ยิ่งโรงเรียนเทศบาลยิ่งไม่ต้องหวังการสนับสนุนแม้แต่ในด้านวิชาการ เพราะถือว่าคนละสังกัด การที่เขตพื้นที่การศึกษายังไม่สามารถสร้างคุณภาพการศึกษาสำหรับเด็กในพื้นที่ได้ แม้จะมีการปรับโครงสร้างนี้มาถึง 10 ปีแล้ว ทำให้เกิดคำถามว่า หรือเรามาผิดทาง หรือเรามองข้ามอะไรที่สำคัญและควรทำก่อนแต่ไม่ได้ทำไปจริงๆ แล้วการกำหนดขนาดของหน่วยจัดการ ควรมีการทดลองนำร่องดูก่อนว่าขนาดของจำนวนโรงเรียนที่จะทำให้ผู้บริหารสามารถดูแลคุณภาพได้ทั่วถึงควรเป็นสักเท่าไร จึงจะทำให้การดูแลมีประสิทธิภาพและคุณภาพได้ ภาคส่วนต่างๆในพื้นที่สามารถเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาได้อย่างเป็นจริง
2) เรื่องของการระดมทรัพยากรในพื้นที่มาร่วมกันพัฒนาคุณภาพการศึกษา เมื่อเปลี่ยนจากการเอาระบบการศึกษาเป็นตัวตั้งไปสู่การเอาเด็กในพื้นที่เป็นตัวตั้ง เราจะสามารถเห็นภาคส่วนต่างๆที่สามารถเข้ามาร่วมสนับสนุนการจัดการศึกษาเพื่อลูกหลานของตนในท้องถิ่นได้
โลกและสังคมในยุคข้อมูลข่าวสารท่วมท้นมีความคาดหวังต่อการพัฒนาคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของเด็กหลักๆ 3 ด้าน คือ ด้านอุปนิสัยใจคอ (character building) ด้านทักษะความสามารถ (critical skills) และด้านความริเริ่มสร้างสรรค์ (creativity) วิชาต่างๆที่สอนกันอยู่ในโรงเรียนก็ได้พยายามปลูกฝังคุณลักษณะเหล่านี้ แต่จุดสำคัญที่ทำให้เด็กเรียนรู้และพัฒนาคุณลักษณะต่างๆ เหล่านี้ได้ดี อยู่ที่ “แรงบันดาลใจ” ที่ทำให้เด็กสนุกกับการเรียนรู้ และ “โอกาสได้ทดลองทำจริง” ที่จะช่วยฝึกความริเริ่มและการแก้ปัญหา
หากเราเอาการพัฒนาคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของเด็กเป็นเป้าหมาย และลองมองดูภาคี หน่วยงาน องค์กรปกครองท้องถิ่น กลุ่ม ชมรม สมาคม เครือข่ายต่างๆในพื้นที่ จะพบว่ามีคนจำนวนมากที่เป็นห่วงเป็นใยลูกหลานของตน และบางกลุ่มก็ได้เข้ามาร่วมสนับสนุนโรงเรียนอยู่บ้างแล้ว แต่ทำกันแบบกระจัดกระจายตามกำลัง ไม่เป็นระบบ จึงขาดพลังที่จะเปลี่ยนแปลงคุณภาพการศึกษาของเด็กทั้งพื้นที่ จากการศึกษาเบื้องต้นในเรื่องของสรรพกำลังที่มีการระดมลงมาสู่โรงเรียนใน 13 จังหวัด พบว่ารูปแบบของการสนับสนุนการพัฒนาการศึกษาจากหน่วยงานต่างๆมีหลากหลายรูปแบบ อาทิ การสนับสนุนการจัดทัศนศึกษา การจัดค่ายวิชาต่างๆ การประกวดโครงงาน กิจกรรมการแสดงออก การดูงานภาคปฏิบัติ ไปจนถึงการสนับสนุนการอบรมครู และการสอนเด็กนักเรียนในบางทักษะด้วยฯลฯ ภาคส่วนที่เข้ามาร่วมสนับสนุนก็มีตั้งแต่โรงพยาบาล สถานีตำรวจ การไฟฟ้า บริษัท มูลนิธิ มหาวิทยาลัย วัด กลุ่มศิลปินพื้นบ้าน องค์กรปกครองท้องถิ่น นอกจากนี้ยังมีหน่วยงานในส่วนกลางที่เข้ามาส่งเสริมสนับสนุนการพัฒนาทักษะความสามารถและคุณลักษณะบางด้าน เช่น สสวท. ศูนย์คุณธรรม สสส. สกว. ฯลฯ ที่มีโครงการไปลงที่โรงเรียนบางแห่งในพื้นที่อีกด้วย
ข้อมูลนี้บอกอะไร
มันบอกว่ามีภาคีอยู่นอกสายตาของระบบการศึกษาอีกมากที่พร้อมจะเข้ามาช่วยดูแลลูกหลานของเขา และจริงๆ แล้ว เขาได้เริ่มทำไปแล้วด้วย
สิ่งที่ขาดไปคือ โอกาสและพื้นที่ที่จะเข้ามาร่วมกันทำงานเพื่อช่วยพัฒนาการศึกษาให้ลูกหลานของเขา หากเราสามารถเชื่อมโยงภาคส่วนต่างๆ เหล่านี้เข้ามาทำงานร่วมกัน มุ่งไปสู่เป้าหมายเดียวกัน มีระบบจัดการที่ดีในการประสานพลัง เราจะสามารถช่วยกันยกคุณภาพการจัดการเรียนรู้สำหรับเด็กในพื้นที่ได้ระบบจัดการและกลไกจัดการเป็นกุญแจสำคัญ ในการจัดการเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงนั้น เรามักจะพบว่าเราต้องจัดการ 3 อย่าง คือ ความรู้ เครือข่าย และเงิน การจะยกคุณภาพการจัดการเรียนรู้สำหรับเด็กในพื้นที่ก็เช่นกัน ลำพังเพียงสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาย่อมไม่มีแรงของความรู้ คน และเงิน พอที่จะยกปัญหาที่หนักและยากเช่นนี้ได้ เราต้องการกำลังเสริมจากภาคีในพื้นที่ ซึ่งมีจุดแข็งแตกต่างกัน บ้างก็มีความรู้ เช่น มหาวิทยาลัย กลุ่มครูภูมิปัญญา ศิลปินพื้นบ้าน บ้างก็มีกำลังของคนและเครือข่าย เช่นมหาวิทยาลัยมีนักศึกษาฝึกสอน กลุ่มข้าราชการเกษียณ/ผู้รู้ เครือข่ายพระสงฆ์ สื่อท้องถิ่น บ้างก็มีเงิน เช่น องค์กรปกครองท้องถิ่น บริษัทใหญ่ๆที่อยากทำอะไรเพื่อบ้านเกิด การใช้ยุทธศาสตร์พื้นที่นี้เป็นการใช้จุดแข็งของความผูกพันของคนต่อท้องถิ่นบ้านเกิดเมืองนอนของตน เพื่อนำไปสู่การรวมพลังที่จะช่วยพัฒนาการศึกษาสำหรับลูกหลาน
การเชื่อมโยงประสานพลังภายใต้ยุทธศาสตร์พื้นที่นี้ จำต้องอาศัย
• การมีเป้าหมายที่ชัดเจนเป็นรูปธรรม เป็นเครื่องมือเชื่อมประสาน
• การเปิดพื้นที่/เวทีในการกำหนดเป้าหมาย การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ การติดตามความก้าวหน้าร่วมกันระหว่างภาคส่วนต่างๆ ในพื้นที่
• ทักษะการจัดการที่สามารถประสานพลังของความรู้ เครือข่าย และเงิน และแปรทั้ง 3 อย่างนี้ให้กลายเป็นกิจกรรมที่จะไปหนุนเสริมเพิ่มคุณภาพการจัดการเรียนรู้สำหรับเด็กในท้องถิ่นโดยสามารถวัดผลการเปลี่ยนแปลงที่สัมพันธ์กับเป้าหมายที่เป็นรูปธรรมได้
กลไกที่มีความเป็นไปได้สูงที่จะจัดการประสานพลังเหล่านี้เข้าด้วยกัน น่าจะได้แก่มหาวิทยาลัยหรือสถาบันอุดมศึกษาในพื้นที่ เพราะเป็นเจ้าของปัจจัยที่สำคัญสำหรับการสร้างการเปลี่ยนแปลงอยู่แล้วถึง 2 ตัว คือ ความรู้และคน มีศักยภาพที่จะสานเครือข่ายเพื่อพัฒนาการศึกษาร่วมกันได้ การใช้มหาวิทยาลัยเป็นแกนหลักของระบบการจัดการยังจะส่งผลดีต่อมหาวิทยาลัยเองในการปฏิรูประบบการจัดการศึกษาในมหาวิทยาลัยให้ตอบโจทย์ของท้องถิ่นด้วย
2. ยุทธศาสตร์ขยายพลังครูดีครูเก่ง
หากเปรียบระบบการศึกษาเป็นขบวนรถไฟขนาดใหญ่ ก็เป็นขบวนรถที่หัวรถจักรไม่มีกำลังจะลากตู้พ่วงจำนวนมหาศาลได้ แนวทางการแก้ปัญหานอกจากจะต้องตัดตู้ขบวนออกให้มีจำนวนพอที่กำลังหัวรถจักรจะลากได้แล้ว ยังต้องสำรวจดูว่าเครื่องจักรตัวไหนที่เครื่องยังไม่ดับแล้วหาทางเติมเชื้อให้เครื่องจักรตัวนั้นมีกำลังมากขึ้นด้วย
ในระบบการศึกษา “ครู” คือ เครื่องจักรที่ยังไม่ดับ
ข้อสรุปนี้มาจากบทพิสูจน์ในโครงการวิจัยหนึ่งที่ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ร่วมกับสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) ได้ร่วมกันสนับสนุนเรื่องการจัดการความรู้เพื่อพัฒนาการศึกษา ซึ่งได้ทดลองนำร่องในเขตพื้นที่การศึกษารวม 17 เขต สิ่งที่ค้นพบคือ ครูยังมีไฟอยู่แม้จะค่อนข้างริบหรี่ด้วยภาระหน้าที่และความคาดหวังจากสังคมโถมทับ แต่เมื่อมีการเปิดเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์ดีๆ ที่ครูภูมิใจในการอบรมสั่งสอนศิษย์ เราพบว่าไม่ว่าจะครูเล็กครูน้อยหรือครูใหญ่ ก็ล้วนมี “ปัญญาปฏิบัติ” การเปิดพื้นที่ให้เขาได้เล่าเรื่องกลายเป็นเครื่องมือไปเติมเชื้อให้ไฟที่ใกล้มอดกลับลุกโพลงขึ้น และยังติดเชื้อลามไปสู่ครูทั้งโรงเรียนได้ง่ายด้วย
“ปัญญาปฏิบัติ” เป็นความรู้ที่อยู่ในตัวคนที่เกิดจากการเรียนรู้ลองผิดลองถูกจนสรุปเป็นบทเรียนได้ ครูที่สอนเด็กมาเป็นสิบๆปี ย่อมสะสมประสบการณ์บทเรียนวิธีการสอนหรือวิธีจัดการกับพฤติกรรมของเด็กไว้ไม่น้อย บางคนก็มีเทคนิคการสอนให้เด็กอยากอ่านหนังสือ บางคนก็รู้วิธีจัดการกับเด็กที่ชอบแกล้งเพื่อนหรือหนีเรียน บางคนก็มีเคล็ดลับการสอนเลขเศษส่วนให้เป็นของง่ายสำหรับเด็ก เทคนิคเคล็ดลับเหล่านี้จริงๆแล้วล้วนเป็นนวัตกรรมเพื่อสร้างการเรียนรู้ของเด็กที่ครูมี “ภูมิรู้” อยู่แล้ว ดังนั้นเพียงแค่เปิดพื้นที่การเรียนรู้ระหว่างครูผู้มากประสบการณ์ให้ได้มาแลกเปลี่ยนกัน ความรู้ก็จะไหลเวียนและสร้างการเรียนรู้ (learning) ที่เกิดจากการแลกเปลี่ยนประสบการณ์
สาเหตุที่สำคัญประการหนึ่งของปัญหาในระบบการศึกษา เกิดจากการละเลยสิ่งที่มีในตัวครูเหล่านี้ การพัฒนาครูมักทำในรูปของการฝึกอบรม (training) ระบบได้เรียกร้องให้ครูใช้เวลามาเข้ารับการอบรมจำนวนมากและบ่อยครั้ง โดยผูกโยงกับการประเมินความรู้ความสามารถของครู ความผิดพลาดอยู่ตรงที่การตั้งสมมุติฐานว่าครูไม่มีความรู้ จึงต้องมารับการอบรม และเมื่ออบรมแล้วเท่านั้นจึงจะสร้างนวัตกรรมหรือไปปรับปรุงการจัดการเรียนการสอนได้ ซึ่งเป็นสมมุติฐานที่ผิด
สิ่งที่น่าแปลกใจในวงการศึกษาคือ เราทำเรื่อง “การศึกษา” ได้อย่างไร โดยไม่เข้าใจเรื่อง “การเรียนรู้”
ปกติแล้วคนไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่จะเรียนรู้ได้ดีเมื่อเขารู้สึกสนุกมีความสุขกับการเรียนเรื่องนั้นๆ ซึ่งหมายถึงว่าเราต้องทำงานกับเรื่องอารมณ์ของคนเพื่อเตรียมเขาให้พร้อมสำหรับการเรียนรู้ ไม่ว่าจะด้วยการสร้างแรงบันดาลใจ ความสนุก ตลอดจนการสร้างความหมายหรือความเชื่อมโยงระหว่างเรื่องที่กำลังจะเรียนกับประสบการณ์เดิมของผู้เรียน การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่สนุกและมีภาคปฏิบัติการของจริงที่ทำให้ผู้เรียนได้เป็น active learner
การอบรม (training) เป็นกระบวนการที่เน้นการให้ความรู้ ซึ่งมีทั้งการถ่ายทอดความรู้และการฝึกทักษะที่คิดว่าผู้รับการอบรมไม่มีอยู่ แต่การเรียนรู้ (learning) เป็นกระบวนการที่เน้นที่การซึมซับความรู้ของผู้เรียน จึงจำเป็นที่ผู้จัดการเรียนรู้จะต้องรู้ว่าผู้เรียนรู้อะไรแล้วบ้าง มีความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องนั้นอย่างไร เพื่อโยงเข้าสู่บทเรียน ผู้เรียนมีอารมณ์จะเรียนหรือเปล่า การเรียนรู้จะเกิดได้ดีในบรรยากาศที่ผ่อนคลาย สนุก
จากบทเรียนในโครงการวิจัยเรื่องการจัดการความรู้เพื่อพัฒนาการศึกษา เราได้เห็นครูที่ในตอนต้นมีท่าทีเบื่อหน่ายกับการเรียนรู้เรื่อง KM แต่เมื่อได้เริ่มเปิดเวทีเล่าเรื่องความภูมิใจหรือความสำเร็จในการทำงาน ครูบางคนก็เล่าเก่ง บางคนก็เล่าไม่ถูก ต้องอาศัย “คุณอำนวย” ช่วยตะล่อม พอครูไม่เกร็งกับ KM แล้ว จะสนุกกันมากชนิดลืมเวลากันไปเลย เรื่องที่เล่าก็น่าสนใจสำหรับครูเพราะมาจากประสบการณ์ของคนที่เป็นครูเหมือนกัน สามารถเก็บเอาไปทดลองทำบ้างแล้วนำผลมาเล่าสู่กันฟังในเวทีครั้งต่อไป
เวที KM เพื่อการแลกเปลี่ยนเรียนรู้นี้มีพลังมาก แต่การจัดเวทีให้เกิดการเรียนรู้ที่ดีได้จำเป็นต้องมีวิทยากรกระบวนการ (facilitator) หรือคุณอำนวยที่มีประสบการณ์ช่วยในช่วงแรกๆ
การจัดเวที KM นี้เป็นเครื่องมือสำคัญลำดับแรกในการเติมพลังให้กับครู ปัจจุบัน สกศ. และ สพฐ. ได้นำเรื่อง KM นี้เข้าไปพยายามขยายอยู่แล้ว แต่ขาดตัวช่วย หากมีการสนับสนุนในด้านคุณภาพของการจัดเวทีเรียนรู้อย่างเป็นระบบโดยใช้กลไกที่มีอยู่ในพื้นที่ เช่น มหาวิทยาลัยในพื้นที่ทำการฝึกบุคลากรเข้าไปสนับสนุน โดยร่วมกับสถาบันจัดการความรู้เพื่อสังคม (สคส.) จะเป็นการช่วยเติมเชื้อให้ไฟในการทำงานของครูได้ลุกโชติช่วงขึ้นมาได้เป็นอย่างดี
สิ่งที่ต้องทำในลำดับที่สอง คือการบำรุงและสนับสนุนให้ครูที่มีปัญญาปฏิบัติได้มีความคล่องตัวในการขยายวงเรียนรู้ให้กว้างขวางยิ่งขึ้นหรือลึกซึ้งขึ้น ที่ผ่านมาครูที่ดีมักได้รับเพียงการยกย่องหรือรางวัล รวมทั้งบรรจุชื่อไว้ในทำเนียบครูดีเด่น ครูต้นแบบ หรือครูภูมิปัญญา แต่ไม่ได้มีการส่งเสริมอย่างจริงจังให้ปัญญาและทักษะของครูเหล่านั้นได้ออกมาเป็นพลังปฏิรูปวิธีจัดกระบวนการเรียนรู้ให้เด็ก
ลำดับที่สาม คือ การวางระบบการประเมินครูและผลงานใหม่ เพื่อให้สามารถรองรับการเรียนรู้ การสร้างนวัตกรรมของครู และการขยายวงเรียนรู้ได้ ระบบการประเมินผลงานครูในปัจจุบันเป็นระบบที่ต้องอาศัยการเขียนผลงานมาเป็นหลักฐานแสดงว่ามีผลงาน ทำให้ครูต้องเสียเวลามานั่งทำผลงานเพื่อความก้าวหน้าของตนเอง แทนที่จะไปดูผลงานของครูที่วัดจากตัวเด็ก เพื่อให้ความก้าวหน้าของครูผูกติดกับความก้าวหน้าของเด็ก นอกจากนี้ ระบบนี้ยังเป็นการให้ครูทำ self report แทนที่จะเป็น peer review และเน้นการประเมินผลมากกว่าการติดตามเพื่อสนับสนุน ทำให้ระบบการประเมินผลงานครูในปัจจุบันเป็นภาระหนักแต่ไม่ค่อยได้อะไร โดยเฉพาะสำหรับเด็ก
ทั้งสามประการนี้เป็นสิ่งจำเป็นในการสร้างปัจจัยแวดล้อมให้เอื้อและหนุนการเรียนรู้ของครู
3. ยุทธศาสตร์สื่อเพื่อการเรียนรู้
จากผลการสำรวจการใช้เวลาของเด็ก พบว่าเด็กไทยใช้เวลาเฉลี่ยวันละ 5 ชั่วโมงกับโทรทัศน์และคอมพิวเตอร์ ซึ่งคิดเป็นถึงร้อยละ 30 ของเวลาในชีวิตในแต่ละวันไม่รวมเวลานอน สื่อจึงเข้ามามีอิทธิพลต่อเด็กมาก จริงๆ แล้วเด็กใช้เวลาในโรงเรียนต่อปียังน้อยกว่าใช้เวลากับสื่อด้วยซ้ำ ดังนั้น หากเราเอาเด็กเป็นเป้าหมายของการพัฒนา จึงจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับสื่อ
สื่อที่สำคัญสำหรับเด็กมี 2 ประเภทที่ต้องเร่งจัดการโดยเร็ว คือ หนังสือ และรายการโทรทัศน์
3.1 หนังสือ มีรายงานการสำรวจว่าเด็กไทยอ่านหนังสือน้อยมาก วันละไม่กี่บรรทัด จนต้องออกมามีการรณรงค์ให้รักการอ่าน แต่ในขณะเดียวกันเราก็พบว่าหนังสือที่ดีและสวยงามมีภาพประกอบสามารถกระตุ้นความสนใจของเด็กได้มาก ในโครงการวิจัยที่ทดลองนำสื่อที่สร้างขึ้นตามหลักการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับการทำงานของสมอง (Brain-based learning) ไปใช้กับเด็กประถมในโรงเรียนจำนวนหนึ่ง พบผลที่ตรงกันทุกแห่งว่าเด็กเปลี่ยนพฤติกรรมการอ่านอย่างชัดเจน เวลาพักก็จะเข้ามุมอ่านหนังสือในห้อง ไม่ออกไปวิ่งเล่น เวลากลับบ้านก็จะขอยืมหนังสือกลับไปอ่าน หนังสือเหล่านี้มักเป็นหนังสือที่มีรูปสีสวยๆ มีตัวอักษรตั้งแต่ไม่กี่บรรทัด (สำหรับเด็กเล็ก) ไปจนถึงเกือบเต็มหน้า (สำหรับเด็กโต) ภายในเวลาเพียง 6 เดือนก็เริ่มเห็นผลต่อความตั้งใจเรียนของเด็ก จนทำให้เราสรุปได้ว่าการจะทำให้เด็กไทยรักการอ่านนั้นทำได้ไม่ยาก แต่ต้องลงทุนพัฒนาหนังสือและซื้อหนังสือที่ดีและสวยเหล่านี้เข้าโรงเรียน
ในประเทศอังกฤษ มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ดได้ลงทุนทำวิจัยและพัฒนาสื่อหนังสือเหล่านี้ ซึ่งขายดีมากไปทั่วโลก ในประเทศไทย สถาบันวิทยาการการเรียนรู้ได้พยายามเริ่มพัฒนาสื่อหนังสือสำหรับสาระวิชาต่างๆ รายชั้น แต่ติดอุปสรรคของปัญหาภายในองค์กรจนทำให้งานชะงักค้างอยู่ หากเราสามารถคัดเลือกหนังสือที่ดีที่สุดจากทั่วโลกสำหรับการสอนวิชาที่มีลักษณะสากล เช่น วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ภาษาอังกฤษ ตลอดจนพัฒนาหนังสือขึ้นมาใช้เองในวิชาที่อยู่ในบริบทไทย เช่น ภาษาไทย สังคมศึกษา ประวัติศาสตร์ เราจะสามารถเปลี่ยนให้เด็กไทยหันมาชอบหนังสือ ซึ่งจะเป็นการดึงเวลาของเด็กไปจากสิ่งเร้าที่ไร้สาระได้เป็นอันมาก
แต่การจะทำเช่นนี้ได้ก็ไม่ง่าย เพราะนอกจากขั้นแรก คือการลงทุนพัฒนาและคัดเลือกหนังสือแล้ว ขั้นที่มักเกิดปัญหาคือการวางระบบเพื่อให้หนังสือเหล่านั้นสามารถเข้าไปอยู่ในโรงเรียนได้ ซึ่งไม่ว่าจะใช้วิธีเปิดประมูลให้จัดพิมพ์ หรือการจัดทำรายชื่อหนังสือแนะนำ เพื่อให้ผู้ปกครองหรือองค์กรปกครองท้องถิ่นซื้อเข้าโรงเรียน ก็ล้วนเกิดข้อครหาเรื่องผลประโยชน์ การวิ่งเต้นของสำนักพิมพ์ ฯลฯ ได้ทั้งสิ้น การแก้ปัญหานี้จำเป็นต้องวางระบบจัดการที่รัดกุม มีคุณภาพ ตรวจสอบได้และโปร่งใส
3.2 รายการโทรทัศน์ โทรทัศน์เป็นสื่อที่สามารถเข้าถึงแทบจะทุกบ้านในประเทศไทย และเป็นสื่อที่มีอิทธิพลสูงเพราะมีทั้งภาพและเสียง มีความเร้าใจ ถ้าใช้สื่อโทรทัศน์ให้ดีในทางบวกจะสามารถสอดแทรกการเรียนรู้เรื่องต่างๆได้อย่างลื่นไหลเพราะผู้ชมไม่ได้รู้สึกว่ากำลังเรียนอยู่ การเรียนรู้ที่เกิดในช่วงจังหวะอารมณ์แบบนี้เป็นการเรียนรู้ที่มีพลัง ติดตรึงในความทรงจำได้มาก
ตัวอย่างของการใช้สื่อเพื่อการเรียนรู้ที่สนุก (edu-tainment) ที่มักมีการอ้างอิงกัน คือสถานีวิทยุโทรทัศน์บีบีซี ของประเทศอังกฤษ ซึ่งมีการผลิตรายการเพื่อการศึกษาอย่างจริงจัง บนความเชื่อว่าโทรทัศน์คือห้องเรียนอีกแบบหนึ่งของโลกยุคใหม่ จึงจำเป็นต้องทำให้เด็กได้รับสาระที่ดีมีประโยชน์และในขณะเดียวกันได้ใช้จุดแข็งของสื่อโทรทัศน์ในการทำให้เห็นทั้งภาพและเสียงได้ สำหรับรายการโทรทัศน์ในประเทศไทยยังมีเนื้อหาที่เน้นบันเทิงค่อนข้างมาก ละครโทรทัศน์ช่วงเวลาดีๆ ก็มักมีตัวอย่างการแสดงออกที่ไม่เหมาะสมอยู่เป็นประจำอันเป็นการให้ตัวอย่างพฤติกรรมที่เด็กนำไปเลียนแบบ มีเด็กวัยรุ่นจำนวนมากที่อยู่กับเรื่องเพ้อฝัน และขาดจุดหมายที่มีแก่นสารในชีวิต อย่างไรก็ดี ได้มีแนวโน้มที่ดีเกิดขึ้นโดยกลุ่มองค์กรและภาควิชาการจำนวนหนึ่งได้ช่วยกันผลักดันสร้างสถานีโทรทัศน์ทีวีไทย และส่งเสริมการผลิตรายการที่มีสาระและสนุกที่เหมาะสำหรับเด็กมากขึ้น อันเป็นการเริ่มสร้างการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีให้กับวงการโทรทัศน์ของไทย
อันที่จริงแล้วในโลกยุคปัจจุบันมีสื่ออีกประเภทหนึ่งที่มีพลังมากไม่น้อยกว่าโทรทัศน์ คือ สื่อทาง internet เนื่องจากคอมพิวเตอร์มีใช้กันอย่างแพร่หลาย เด็กในยุคปัจจุบันจึงเข้าถึง internet ได้ง่าย เด็กสามารถเข้าเล่นเกมส์ หรือหาเพื่อนในโลกเสมือน ด้วยวัยของเด็กมักจะอยากรู้อยากเห็น อยากเล่นอยากลอง การจะห้ามเด็กเข้าไปท่องเที่ยวในเว็บจึงเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก ปัญหานี้ไม่ได้เกิดเฉพาะในประเทศไทย แต่เป็นกันทั่วโลก ในหลายประเทศมีความพยายามในการสร้างเว็บดีๆ ที่สร้างสรรค์สำหรับเด็กโดยเฉพาะ มีการจำกัดการเข้าเว็บที่ไม่สร้างสรรค์หรือเกมส์ที่ใช้ความรุนแรง แต่อัตราความเร็วและจำนวนในการเกิดเว็บที่สร้างสรรค์สำหรับเด็กนั้นช้ากว่าเว็บที่ไม่สร้างสรรค์มาก ทางแก้จึงไม่อาจแก้ที่ตัวสื่อแต่ต้องแก้ที่การฝึกเด็กให้รู้จักใช้วิจารณญาณ สามารถเลือกได้ตัดสินได้และรู้จักความพอดี
จากยุทธศาสตร์สู่ปฏิบัติการ
ยุทธศาสตร์ที่กล่าวมาทั้ง 3 ข้อ คือเรื่องใหญ่ที่ต้องทำก่อนเพื่อทำให้หัวขบวนรถจักรนี้เริ่มขยับเขยื้อน แต่ไม่ได้หมายถึงทั้งหมดที่ต้องทำในการปฏิรูปการศึกษา เมื่อมีการเปิดพื้นที่และดึงผู้เล่นใหม่ๆ เข้ามา ฟื้นพลังของครู 600,000 คนขึ้นมา และสร้างสื่อดีที่เด็กจะได้รับประโยชน์โดยตรงแล้ว จากนั้นจึงค่อยทำเรื่องการปรับปรุงประสิทธิภาพของระบบย่อยต่างๆ เช่น ระบบการวัดความรู้ความสามารถของเด็ก การประเมินมาตรฐานสถานศึกษา การลงทุนทางการศึกษา การกำกับดูแลและธรรมาภิบาล การกระจายอำนาจทางการศึกษา การพัฒนาคุณภาพครูอาจารย์ เป็นต้น
การจะทำเรื่องเหล่านี้ได้ ต้องใช้ความรู้ข้อมูล และต้องเชื่อมโยงกับการตัดสินใจทางนโยบายของรัฐในขอบข่ายงานที่กว้างกว่ากรอบงานของกระทรวงศึกษาธิการ การปฏิรูประบบนี้น่าจะใช้เวลาประมาณ 5 - 8 ปี จึงจำเป็นต้องมีการทำงานที่ต่อเนื่อง และมีการติดตาม (monitor) อย่างใกล้ชิดเพื่อสะท้อนข้อมูลให้ฝ่ายนโยบายได้รับทราบและตัดสินใจเรื่องที่จำเป็น
หากรัฐบาลเห็นความจำเป็นต่อการปฏิรูปการศึกษาจริง จะต้องกล้าตัดสินใจลงทุนตั้งหน่วยงานที่มีเงื่อนไขการทำงานที่มุ่งผลลัพธ์ มีความคล่องตัวในการประสานกับหน่วยงานที่มีภารกิจหลัก แต่แยกออกมาในลักษณะที่คล้าย กพร. แยกออกมาจาก กพ. ทำหน้าที่ประสานเครือข่ายทั้งภาครัฐที่รับผิดชอบโดยตรง คือกระทรวงศึกษาธิการ และที่เกี่ยวข้องเช่น สำนักงานบริหารจัดการองค์ความรู้ (สบร.) กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ มหาวิทยาลัยต่างๆ ตลอดจนภาคประชาสังคม เครือข่ายสื่อ มูลนิธิ หน่วยงานและภาคธุรกิจเอกชนที่สนใจร่วมสนับสนุนการยกระดับคุณภาพการจัดการเรียนรู้สำหรับเด็ก ทั้งนี้ หน่วยงานนี้จะต้องสามารถระดมทุนจากภาคส่วนต่างๆเพื่อพัฒนาการศึกษาได้ ทั้งโดยส่งตรงไปยังโรงเรียนหรือสถานศึกษา และโดยสมทบร่วมในโครงการต่างๆ ของสำนักงาน ดังนั้น จึงมีความจำเป็นต้องจัดตั้งองค์กรนี้ในรูปกองทุน โดยมีระบบการกำกับดูแลธรรมาภิบาล ระบบการบริหารงานแบบโครงการที่มุ่งเป้าผลลัพธ์ที่ชัดเจน และระบบการเงินบัญชีที่คล่องตัวในลักษณะเดียวกันกับ สกว. หรือ สสส. ซึ่งเป็นระบบกองทุนที่ได้พิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิภาพและตรวจสอบได้
การลงทุนนี้คาดว่าจะใช้เงินประมาณ 5,000 ล้านบาท สำหรับ 3 ปีแรก ซึ่งนับว่าเป็นจำนวนที่น้อยมาก (น้อยกว่า 0.6 % ต่อปี) เมื่อเทียบกับงบประมาณการศึกษาปีละ 3 แสนล้านบาท รัฐบาลสามารถเจียดเงินจำนวนนี้มาจากรายได้จากค่าสัมปทานและผลกำไรที่ได้จากการดำเนินกิจการด้านสื่อสารมวลชน เทคโนโลยีสารสนเทศ และโทรคมนาคม ตามที่ระบุไว้ในพระราชบัญญัติการศึกษา พ.ศ. 2542 และตั้งเป็นกองทุนเพื่อพัฒนาการศึกษา ตามมาตรา 60
บทสังเคราะห์นี้เป็นผลจากการได้เห็นจุดแข็งและจุดอ่อนในระบบการศึกษา เห็นความแตกต่างของวัฒนธรรมองค์กรและระบบการบริหารจัดการแบบระบบราชการ กับแบบองค์กรอิสระในกำกับรัฐ จนสามารถสรุปได้ว่า ปัญหาในระบบการศึกษาเป็นปัญหาของระบบการบริหารจัดการที่ใหญ่โตและติดกรอบเกินไป ในขณะเดียวกันก็เห็นโอกาสและศักยภาพที่จะเชื่อมโยงสิ่งดีๆที่มีอยู่ทั้งในระบบการศึกษาเองและภาคีจากภายนอกเข้ามาเป็นพลังเพื่อพัฒนาการศึกษาร่วมกันได้
การจะแก้ปัญหาของระบบการจัดการนั้นไม่ได้แก้ด้วยการออกกฎหมายขึ้นมาอีกฉบับ เพราะกฎหมายทำให้เกิดประสิทธิภาพไม่ได้การจะแก้ปัญหาการขาดประสิทธิภาพและคุณภาพของระบบการศึกษาต้องแก้ด้วยระบบบริหารจัดการใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูง ภารกิจนี้จะเป็นบทพิสูจน์ความเอาจริงของรัฐบาลต่อการพัฒนาการศึกษาเพื่อลูกหลานไทย