ดร.นิพนธ์ แนะ คสช. งัดม.44 ระบายข้าวในสต็อคหมดใน 2 ปี ลดขาดทุน
สต็อคข้าวรัฐเหลือบานกว่า 9.7 ล้านตัน ดร.นิพนธ์ แนะ คสช. ใช้ ม. 44ปรับรูปแบบขายข้าว ระบายให้หมดภายใน 2 ปี ชี้ยิ่งเก็บยิ่งขาดทุน
เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2559 ที่ห้องเซี่ยงไฮ้ ชั้น 2 โรงแรมสวิสโซเทล เลอ คองคอร์ด สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ร่วมกับ สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (สวก.) จัดสัมมนา “โครงการระบายข้าวในคลังของรัฐ”
ดร.นิพนธ์ พัวพงศกร นักวิชาการเกียรติคุณ TDRI กล่าวว่า ก่อนรัฐบาลทักษิณ รัฐบาลไทยมีข้าวในสต็อคน้อยมาก เพราะรัฐไม่มีนโยบายซื้อสินค้าเข้าสต็อค ยิ่งกว่านั้นรัฐไม่จำเป็นต้องเก็บสต็อคเกษตรที่ส่งออก เพราะประเทศมีผลผลิตส่วนเกิน และสินค้าเกษตรเน่าเสียง่าย จากนั้น ตั้งแต่รัฐบาลทักษิณ มาสู่ช่วงของรัฐบาลสมัคร สุนทรเวช และรัฐบาลสมชาย วงค์สวัสดิ์ รัฐบาลมีสต็อคข้าวเพิ่มมาก เพราะมีการขึ้นราคาจำนำ และนับตั้งแต่เริ่มมีนโยบายจำนำข้าวทุดเม็ด ทำให้รัฐมีสต็อคข้าวจำนวนมหาศาล ซึ่งรัฐบาลยิ่งลักษณ์รับจำนำไปทั้งสิ้นกว่า34.5 ล้านตัน หรือว่า 53% ของผลผลิต แต่กลับขายได้เพียง 18.07 ล้านตันเท่านั้น
"ปัจจุบันสต็อคข้าวคงเหลืออยู่ที่ 9.7 ล้านตัน ถ้ายิ่งระบายข้าวช้า ก็ยิ่งขาดทุนหนักเพราะภาระต้นทุนการเก็บรักษาและค่าดอกเบี้ยสูงถึง ปีละ 18,300 ล้านบาท หรือตันละ 1,570 ล้านบาท/ปี "
ดร.นิพนธ์ กล่าวด้วยว่า จากศึกษาที่ผ่านมา การนำข้าวเข้าเก็บในโกดังมีปัญหาหลายประการ อาทิ ปัญหาด้านคุณภาพ และข้าวผิดชนิด ปัญหาด้านกายภาพของโกดัง การดูเเลรักษาที่ไม่มีมาตรฐาน นอกจากนี้ยังไม่มีการจัดทำบัญชีและฐานข้อมูลปริมาณ ชนิด คุณภาพ และ รวมทั้งผังโกดังและผังการกองข้าวที่ถูกต้อง เป็นฐานข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ที่น่าเชื่อถือและตรวจสอบได้
จากการตรวจสต็อคข้าวของรัฐบาล คสช. ที่ผ่านมาพบว่าข้าวในสต็อคหาย มีข้าวจริงเพียง 17.28 ล้านตัน ในขณะที่ตามบัญชีระบุว่ามี 18.7 ล้านตัน ทั้งนี้ยังพบว่ามีข้าวที่ไม่ได้ส่งเข้าโกดังและข้าวไม่ออกรหัสอีกกว่า 0.67 ล้านตัน และข้าวที่มีข้อผูกพันขายอีก 0.75 ล้านตัน ยังพบอีกว่ามีข้าวเกรด C ผิดชนิด ข้าวเสีย กองล้มอีกกว่า 5.84 ล้านตัน
ดร.นิพนธ์ กล่าวอีกว่า ในช่วง ส.ค.2557 - มิ.ย. 2559 รัฐบาล คสช.ระบายข้าวได้เพียง 7.5 ล้านตัน จากจำนวนกว่า 17.28 ล้านตัน เนื่องจากตลาดไทยมีความต้องการจำกัด ขณะที่ทุกปีก็มีผลผลิตข้าวใหม่ออกสู่ตลาด ในส่วนตลาดโลกก็มีข้อจำกัดในการดูดซับส่วนเกิน ซึ่งปริมาณการค้าข้าวมีเพียงร้อยละ 8 ของการผลิตทั้งโลก ซึ่งไทยมีส่วนแบ่งตลาดเพียง 1 ใน 4 นอกจากนี้ปัญหาเรื่องการฟ้องร้องคดี ก็มีส่วนในการทำให้การระบายข้าวเป็นไปอย่างล้าช้า ซึ่งแน่นอนย่อมส่งผลต่อการขาดทุน ดังนั้นการระบายข้าวยิ่งเร็ว จะช่วยให้ขาดทุนน้อยลง แต่ยิ่งระบายเร็ว ย่อมหมายความว่าต้องมีการระบายออกเป็นจำนวนมาก ซึ่งอาจจะทำให้ราคาข้าวในประเทศลดลง ทางที่ดีควรค่อยๆระบายอย่างสม่ำเสมอจะขาดทุนน้อยกว่าขายเป็นช่วงและลดการเก็งกำไรได้ นอกจากนี้การลดราคาขาย โดยขายเป็นเกรดอาหารสัตว์ เอทานอลจะทำให้ขาดทุนมาก แต่อาจคุ้มค่ากว่าการเก็บข้าวไว้ในสต็อคเป็นเวาลานานเกิน 4-5 ปี เพราะข้าวจะเสื่อมคุณภาพมากขึ้น และรัฐต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเก็บบำรุงสต็อค
ดร.นิพนธ์ กล่าวด้วยว่า บทเรียนสำคัญที่ผ่านมาโดยเฉพาะกรณีของ การรับซื้อข้าว พบว่ารัฐบาลไม่ควรคิดแทรกแซงสินค้าเกษตรทุกชนิด แล้วนำมาเก็บไว้ในสต็อคโดยเด็ดขาด เพราะกฎระเบียบต่างๆ ของรัฐไม่เอื้อในการขายข้าว ทั้งยังเจอภาวะขาดทุนมหาศาล มีค่าใช้จ่ายต่างๆ รวมทั้งค่าเวลาและเงินเดือนของเจ้าหน้าที่รัฐจำนวนมาก ซึ่งวันนี้รัฐต้องเร่งขายข้าวให้หมดภายใน 2 ปี ส่วนข้าวที่เสื่อมคุณภาพหรือข้าวเกรด C อาจต้องขอให้ คสช.ใช้อำนาจ ม. 44 เพื่อขายข้าวดังกล่าวเป็นเกรดอุตสาหกรรม และต้องมีมาตรการควบคุมไม่ให้กลับเข้ามาสู่ตลาดข้าวบริโภค.
ขอบคูณภาพประกอบจาก http://www.peopleunitynews.com/