แวลีเมาะ ปูซู / ปรัชญา โต๊ะอิแต
โต๊ะข่าวภาคใต้ สถาบันอิศรา
คณะเดินเพื่อสันติปัตตานี หรือที่เดิมใช้ชื่อว่า “คณะธรรมยาตราเพื่อสันติปัตตานี” นำโดย นายโคทม อารียา ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาและพัฒนาสันติวิธี มหาวิทยาลัยมหิดล เดินเท้าจาก อ.ศาลายา จ.นครปฐม ด้วยระยะทาง 1,100 กิโลเมตรถึงตัวเมืองปัตตานีแล้ว เมื่อเวลา 09.45 น.วันที่ 1 ก.ย.ที่ผ่านมา โดยใช้ระยะเวลารวมทั้งสิ้น 53 วัน
06.30 น.ของวันที่ 1 ก.ย. คณะของนายโคทมทั้งพระสงฆ์และฆราวาสรวม 71 ชีวิต เดินเท้าออกจากศูนย์พัฒนาเด็กเล็กมัสยิดอัลฮีดายะตุลดีนียะ อ.หนองจิก จ.ปัตตานี มุ่งหน้าสู่จุดหมายปลายทางคือมัสยิดกลางจังหวัดปัตตานี ซึ่งตลอดระยะทาง 8 กิโลเมตรสุดท้ายมีประชาชนทุกศาสนา นักเรียนนักศึกษา และองค์กรภาคประชาสังคมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ รอต้อนรับกันอย่างแน่นขนัด รวมถึง นายธีรเทพ ศรียะพันธ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี ซึ่งนำคณะข้าราชการมายืนตั้งแถวรอรับด้วย บรรยากาศเต็มไปด้วยความอบอุ่น หลายคนมอบช่อดอกไม้และสิ่งของต่างๆ เพื่อเป็นกำลังใจ
ส่วนภายในบริเวณมัสยิดกลาง มีการจัดแสดงนิทรรศการภาพถ่าย และแผ่นผ้าที่บันทึกความรู้สึกของพี่น้องประชาชนจากหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ และจังหวัดต่างๆ ที่คณะเดินเพื่อสันติปัตตานีสัญจรผ่าน เนื้อหาส่วนใหญ่ต้องการเห็นสันติภาพและสันติสุขที่ปลายด้ามขวาน
ผู้นำอิสลาม-พุทธอ่านสารเรียกร้องสันติสุข
เมื่อคณะของนายโคทมเดินทางถึงมัสยิด นายอัศมี โต๊ะมีนา รองประธานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดปัตตานี เป็นตัวแทนอ่านสารจากจุฬาราชมนตรี ระบุว่า พี่น้องมุสลิมทั่วประเทศขอแสดงความชื่นชมเป็นอย่างสูงต่อคณะเดินเพื่อสันติปัตตานีที่มีความมุ่งมั่น ตั้งใจอย่างแน่วแน่ในอันที่จะเรียกร้องให้ประชาชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมทั้งทุกภาคส่วนในสังคม ร่วมกันรณรงค์แก้ไขปัญหาความขัดแย้งด้วยสันติวิธี โดยการเดินเท้าเป็นระยะทางกว่า 1,100 กิโลเมตร
“ทุกศาสนาล้วนต้องการบรรยากาศแห่งสันติภาพ เพราะภายใต้สันติภาพ การเข้าถึงธรรมจึงจะเกิดได้อย่างแท้จริง ศาสนาอิสลามเองให้ความสำคัญกับสันติภาพเป็นอย่างยิ่ง หลักธรรมคำสอนต่างๆ รวมทั้งวิธีปฏิบัติของอิสลามล้วนมุ่งสร้างความผาสุกและร่มเย็นแก่มวลมนุษย์โดยรวม”
“น่าเสียดายที่การพัฒนาประเทศในปัจจุบันกลับสร้างค่านิยมและทัศนคติที่มองเห็นหลักธรรมคำสอนของศาสนาอยู่ชายขอบ แล้วมุ่งสร้างค่านิยมที่ติดยึดกับวัตถุอย่างสุดขั้ว กลายเป็นการเปิดพื้นที่ให้แก่การใช้อารมณ์ ความรู้สึกอย่างกว้างขวาง บดทับศาสนาจนแทบไม่เหลือพื้นที่ในการสร้างวิถีชีวิตร่วมกัน” เป็นข้อความตอนหนึ่งจากสารของจุฬาราชมนตรี
หลังจากนั้น พระครูสังฆรักษ์ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดนพวงศาราม เป็นตัวแทนอ่านสารจากเจ้าคณะหนใต้ เนื้อความระบุว่า ความเดือดร้อนของประชาชนในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นที่รับรู้ของคนทั้งในประเทศและต่างประเทศ ทุกภาคส่วนของสังคมพยายามทำกิจกรรมทุกรูปแบบเพื่อสร้างความสุขและกำลังใจแก่ครอบครัวผู้สูญเสีย ถึงเวลาแล้วที่คนไทยทุกหมู่เหล่าต้องอยู่ร่วมกันอย่างฉันท์มิตร แม้เราจะมีความแตกต่าง แต่ไม่แตกแยก ให้คิดเสียว่าความแตกต่างเป็นความสวยงาม เป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งของสิ่งทั้งหลายที่อยู่ร่วมกัน
“โคทม”จี้รัฐพิจารณายกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ
ด้าน นายโคทม กล่าวว่า โครงการเดินเพื่อสันติปัตตานีเป็นส่วนหนึ่งของการเรียกร้องและการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ เพื่อร่วมกันคลี่คลายความขัดแย้งโดยสันติวิธี เรียกร้องให้พลเมืองไทยนอกจังหวัดชายแดนภาคใต้สนใจศึกษาปัญหาและความเดือดร้อนของพลเมืองไทยในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อให้เกิดความเข้าใจและความเห็นใจ อันจะมีส่วนช่วยให้มีการแก้ไขความขัดแย้งโดยสันติวิธี รวมพลังสามัคคีเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เรียกร้องให้ทุกฝ่ายยุติความรุนแรงโดยเร็ว พึงใช้การพูดคุยแบบเอาใจเขามาใส่ใจเรา อันจะนำไปสู่การเจรจาและการแก้ไขข้อขัดแย้งโดยสันติวิธีต่อไป
ส่วนข้อเสนอของสมัชชาปฏิรูปที่มี ศ.นพ.ประเวศ วะสี เป็นประธาน ที่ให้รัฐบาลทดลองงดใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 (พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ) และหยุดส่งทหารลงพื้นที่เป็นเวลา 3 เดือนนั้น นายโคทม กล่าวว่า ไม่ได้มีแต่หมอประเวศที่พยายามเรียกร้องในเรื่องนี้ แต่ยังมีประชาชนอีกมากมายที่เห็นตรงกัน ไม่ว่าจะเป็นคนนอกพื้นที่สามจังหวัดหรือในพื้นที่เองก็ตาม ดังนั้นข้อเสนอนี้อยากให้รัฐบาลเร่งพิจารณา ไตร่ตรอง และทบทวนการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ โดยเร็ว
นายศราวุธ กุลพงศ์ หนุ่มชาวกรุงเทพมหานคร ซึ่งร่วมเดินมากับคณะตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง กล่าวว่า การต้อนรับจากคนสามจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นมาก ทำให้มีกำลังใจและมีความหวังที่จะเห็นสันติสุขเกิดขึ้น เพราะสันติภาพและสันติสุขไม่ได้เกิดจากใครคนใดคนหนึ่ง แต่ต้องเกิดจากประชาชนส่วนใหญ่ในสังคม หากการเดินครั้งนี้ไม่มีกระแสตอบรับจากสังคม สันติภาพก็คงไม่อาจเกิดขึ้นได้จริง
“การที่ได้เห็นผู้คนหลั่งไหลมาต้อนรับและร่วมกิจกรรมด้วยกัน ทำให้เหงื่อทุกหยดและพลังกายทุกส่วนที่เสียไปคุ้มค่า ผมไม่รู้สึกเสียดายเลย มันเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ และพลังนี้จะกลับคืนสู่ประชาชนและคนไทยทุกคน” นายศราวุธ กล่าว
คนพื้นที่วาดหวังนับถอยหลังสู่สันติสุข
ขณะที่ นายหะยีแอ หะยีดาโอะ อิหม่ามประจำมัสยิดอัลฮีดายะตุลดีนียะ เผยความรู้สึกที่ได้ต้อนรับคณะเดินเพื่อสันติปัตตานีว่า ดีใจมาก ในฐานะที่เป็นเจ้าของบ้านอยากบอกว่าศาสนาอิสลามสอนเรื่องการมีน้ำใจ ความเมตตา และเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่สำหรับผู้เดินทาง ไม่ว่าจะนับถือศาสนาใดก็ตาม
“หลายฝ่ายตั้งคำถามว่า การเดินเพื่อสันติปัตตานีจะช่วยให้สถานการณ์ความรุนแรงดีขึ้นหรือไม่ คำถามนี้ผมเองก็ยังไม่แน่ใจว่าจะช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้นหรือเปล่า แต่เชื่อว่าทุกฝ่ายต้องหันหน้ามาร่วมมือกันแก้ปัญหาอย่างจริงใจ ทั้งฝ่ายเจ้าหน้าที่และประชาชน เพราะที่ผ่านมายังแก้ปัญหาถูกบ้างไม่ถูกต้องบ้าง เช่น การประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เพราะทำให้เหตุการณ์รุนแรง มีการซ้อมทรมาน ทำให้เกิดความโกรธแค้นต่อเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งรัฐบาลควรทบทวนเป็นการด่วน” อิหม่ามประจำมัสยิดอัลฮีดายะตุลดีนียะ กล่าว
ส่วน ซอและ มะสอลา เยาวชนในพื้นที่ บอกว่า สามจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นดินแดนแห่งความล้ำค่า ทุกคนเห็นตรงกันว่าจะต้องสร้างสันติสุขให้เกิดขึ้นให้ได้ ในฐานะที่เป็นคนในพื้นที่ และได้ร่วมเดินกับคณะในช่วงสุดท้าย อยากให้ดินแดนแห่งนี้มีสันติสุขเร็วๆ
ใต้ยังเดือดบึ้มข้าง สนง.เกษตรปัตตานี-ยิงสองผัวเมียซ้ำอีก
ด้านสถานการณ์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ยังคงเกิดเหตุรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่เว้นแม้กระทั่งพื้นที่ อ.เมืองปัตตานี ซึ่งกำลังจัดงานต้อนรับคณะเดินเพื่อสันติปัตตานี โดยเมื่อเวลา 13.30 น.วันพุธที่ 1 ก.ย.2553 เกิดระเบิดขึ้นบริเวณใต้ม้านั่งหินอ่อนในลานจอดรถรับส่งนักเรียนของโรงเรียนเจริญศรีศึกษา ข้างสำนักงานเกษตรจังหวัดปัตตานี ท้องที่หมู่ 5 ต.รูสะมิแล อ.เมือง จ.ปัตตานี แรงระเบิดทำให้ชุดม้าหินเสียหาย โดยระเบิดที่คนร้ายใช้เป็นชนิดแสวงเครื่อง บรรจุอยู่ในกล่องเหล็ก จุดชนวนด้วยโทรศัพท์มือถือ โชคดีไม่มีผู้ใดได้รับอันตราย เบื้องต้นตำรวจสันนิษฐานว่าเป็นการกระทำของกลุ่มก่อความไม่สงบที่ต้องการสร้างสถานการณ์สะเทือนขวัญ
ก่อนหน้านั้น เมื่อเวลา 03.30 น. คนร้าย 2 คนขี่รถจักรยานยนต์ตามประกบยิง นายสุรสิทธิ์ เอียดแก้ว อายุ 50 ปี และนางคะนึง เอียดแก้ว อายุ 52 ปี ซึ่งเป็นสามีภรรยากัน ขณะทั้งคู่ขี่รถจักรยานยนต์ไปกรีดยาง เหตุเกิดบนถนนชนบท ท้องที่หมู่ 3 ต.ทุ่งพลา อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี ทำให้ทั้งนายสุรสิทธิ์และนางคะนึงเสียชีวิต เบื้องต้นตำรวจสันนิษฐานว่าเป็นการกระทำของกลุ่มก่อความไม่สงบที่พยายามพุ่งเป้าประทุษร้ายชาวบ้านผู้สูงวัยที่ออกกรีดยางในช่วงเช้ามืด ซึ่งในรอบเดือนที่ผ่านมามีสามีภรรยาถูกยิงในลักษณะนี้แล้วอย่างน้อย 4 คู่ และส่วนใหญ่จะเสียชีวิต
ระเบิดตากใบเจ็บ 3-ประกบยิงทหารหน่วยข่าวดับคาถนน
ส่วนที่ อ.ตากใบ จ.นราธิวาส เวลาประมาณ 09.00 น.วันเดียวกัน คนร้ายใช้โทรศัพท์มือถือจุดชนวนระเบิดชนิดแสวงเครื่องที่วางไว้ริมถนนนราธิวาส-ตากใบ ท้องที่บ้านศาลาใหม่ หมู่ 3 ต.ศาลาใหม่ อ.ตากใบ ขณะที่ทหารชุดรักษาความปลอดภัยครู (ชุดรปภ.ครู) สังกัดหน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส 36 จำนวน 6 นาย กำลังเคลื่อนกำลังผ่านโดยใช้รถจักรยานยนต์ 3 คันเป็นพาหนะ แรงระเบิดทำให้เจ้าหน้าที่ทหารได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย 3 นาย
ที่ อ.เมือง จ.ยะลา เวลา 12.40 น.คนร้าย 2 คนขี่รถจักรยานยนต์ตามประกบยิง จ.ส.อ.เมธา เพ็งโอ อายุ 49 ปี ทหารสังกัดงานการข่าว ประจำอยู่ที่ค่ายสิรินธร ต.เขาตูม อ.ยะรัง จ.ปัตตานี ขณะขี่รถจักรยานยนต์อยู่บนถนนสิโรรส ย่านตลาดเก่า ในเขตเทศบาลนครยะลา มุ่งหน้าเข้าค่ายสิรินธร ทำให้ จ.ส.อ.เมธา เสียชีวิตคาที่
ก่อนหน้านั้น เมื่อช่วงค่ำวันอังคารที่ 31 ส.ค. เกิดเหตุคนร้ายจุดชนวนระเบิดแบบเครโมดักสังหารเจ้าหน้าที่ทหารบนถนนสายสุไหงปาดี-สากอ ท้องที่บ้านบูเก๊ะปูลา หมู่ 1 ต.ริโก๋ อ.สุไหงปาดี แต่โชคดีที่ระเบิดทำงานช้า ทำให้ไม่มีกำลังพลได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต
ผูกระเบิดใต้ท้องรถ อส.ตูมสนั่นหน้าอำเภอจะแนะเจ็บ 3
วันจันทร์ที่ 30 ส.ค. เกิดระเบิดบริเวณใต้ท้องรถกระบะยี่ห้อโตโยต้า สีบรอนซ์ทอง หมายเลขทะเบียน บธ 3589 แพร่ ขณะกำลังขับเข้าที่ว่าการอำเภอจะแนะ จ.นราธิวาส ทำให้เจ้าหน้าที่อาสารักษาดินแดน (อส.) ที่นั่งมาในรถได้รับบาดเจ็บสาหัส 3 นาย คือ อส.อับดุลเลาะ อับดุลลาเต๊ะ อส.อาหะมะ เจ๊ะแว และ อส.อดิศร บาโด เบื้องต้นตำรวจสันนิษฐานว่า คนร้ายลอบนำระเบิดชนิดแสวงเครื่องไปผูกไว้ใต้ท้องรถตั้งแต่เมื่อคืนที่ผ่านมา กระทั่งช่วงเช้า อส.กลุ่มนี้ขับรถไปทำงาน คนร้ายจึงใช้รถจักรยานยนต์ขี่ตาม เมื่อสบโอกาสก็ใช้โทรศัพท์มือถือจุดชนวนจนเกิดระเบิดขึ้น เชื่อว่าเป็นการกระทำของกลุ่มก่อความไม่สงบ
เวลา 12.30 น. ขณะที่ทหารหน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส 32 กำลังนั่งรับประทานอาหารหลังปฏิบัติหน้าที่รักษาความปลอดภัยย่านการค้าในเขตเทศบาลตำบลบาเจาะ อ.บาเจาะ จ.นราธิวาส ได้มีคนร้าย 2 คนขี่รถจักรยานยนต์โฉบผ่านมา แล้วใช้ระเบิดสังหารแบบเอ็ม 67 ปาเข้าใส่ แต่โชคดีระเบิดไม่ทำงาน ทำให้ไม่มีผู้ใดได้รับอันตราย
ช่วงค่ำวันเดียวกัน คนร้าย 2 คนมีรถจักรยานยนต์เป็นพาหนะ ใช้อาวุธปืนกระหน่ำยิง นายอาแว นิเฮง อายุ 45 ปี ชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) หมู่ 2 ต.ปะนาเระ อ.ปะนาเระ จ.ปัตตานี เสียชีวิตบริเวณหน้ามัสยิดในหมู่บ้าน เบื้องต้นตำรวจยังไม่สรุปว่าเป็นการสร้างสถานการณ์ของกลุ่มก่อความไม่สงบ หรือเป็นเหตุขัดแย้งส่วนตัว
----------------------------------------------------------------------------------
บรรยายภาพ :
1 คณะเดินเพื่อสันติปัตตานี ถ่ายภาพร่วมกับผู้นำศาสนาและพี่น้องประชาชนในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้บริเวณหน้ามัสยิดกลางจังหวัดปัตตานี
2-4 บรรยากาศการเดินเพื่อสันติปัตตานีช่วงโค้งสุดท้าย และการต้อนรับอย่างล้มหลามของคนพื้นที่
อ่านประกอบ :
- คนชายแดนใต้อ้าแขนรับขบวนธรรมยาตราสู่สันติปัตตานี
- Peace walk nears its destination
- พลังเท้า พลังใจ เดินสันติปัตตานีเพื่ออะไร?
- "โคทม"นำเดินธรรมยาตรา 1,100 กม.สู่ปัตตานี รณรงค์ใช้สันติวิธีดับไฟใต้!
- Gothom to lead peace march