- Home
- Isranews
- รายงาน-สกู๊ป
- เปิดผลสอบงบฟื้นฟูถนนหมื่นล.! ก่อน"ประยุทธ์"ยกเครื่องระบบคมนาคม ปท.
เปิดผลสอบงบฟื้นฟูถนนหมื่นล.! ก่อน"ประยุทธ์"ยกเครื่องระบบคมนาคม ปท.
"..การดำเนินการฟื้นฟูสายทางตามโครงการไม่เป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนดโดยบางสายทางไม่ประสบปัญหาอุทกภัย ข้อมูลการรายงานสภาพความเสียหายและการฟื้นฟูสายทางที่ประสบปัญหาอุทกภัยตามโครงการไม่ครบถ้วน ไม่ชัดเจน และไม่เป็นไปตามคู่มือที่กำหนด การออกแบบซ่อมบารุงสายทางไม่เหมาะสม และการตรวจสอบสภาพความชำรุดบกพร่องในระหว่างค้ำประกันสัญญาและการแจ้งซ่อมไม่เป็นไปตามแนวทางที่กำหนด.."
เมื่อวันที่ 29 ก.ค.57 คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้ออกคำสั่งฉบับที่ 110/2557 เรื่องการแต่งตั้งคณะกรรมการที่ปรึกษาของคสช.ด้านโครงสร้างพื้นฐานการคมนาคม มีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช.เป็นประธาน มีตัวแทนจากหน่วยงานราชการและเอกชนที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมโดยพร้อมเพียง
ขณะที่อำนาจของคณะกรรมการชุดนี้ เป็นลักษณะเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ตั้งแต่การกำหนดยุทธศาสตร์ ศึกษาแนวทางการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งระบบถนน ราง ทางน้ำ ทางอากาศ รวมไปถึงการเสนอแนะแนวทางการจัดหาแหล่งเงินลงทุนที่เหมาะสม และมีอำนาจในการเชิญเจ้าหน้าที่หรือบุคลากรจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาชี้แจง
แต่ไม่ว่าผลลัพธ์การทำงานของคณะกรรมการชุดนี้จะเป็นอย่างไร ข้อเท็จจริงที่ปฏิบัติไม่ได้ว่า การพัฒนาระบบโครงสร้างของประเทศที่ผ่านมา ประสบปัญหาอย่างมาก โดยเฉพาะขั้นตอนการปฏิบัติ
ทั้งนี้ เพื่อให้ คสช. และสาธารณชน รับทราบข้อมูลเกี่ยวกับปัญหาและอุปสรรคการพัฒนาโครงการพื้นฐานการคมนาคม ในอดีตที่ผ่านมา ก่อนที่จะเริ่มต้นเดินหน้างานใหญ่?
สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ได้ตรวจสอบรายงานการตรวจสอบผลการดำเนินงานโครงการฟื้นฟูทางหลวงชนบท อันเนื่องมาจากเหตุอุทกภัย กรมทางหลวงชนบท กระทรวงคมนาคม ของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) พบว่ามีประเด็นที่น่าสนใจหลายประเด็น ที่ คสช.สามารถนำไปใช้เป็นกรณีศึกษาในการวางแผนงานด้านโครงสร้างพื้นฐานการคมนาคมของประเทศ ดังนี้
จุดเริ่มต้น
ในปี 2554 ประเทศไทยประสบปัญหาอุทกภัยครั้งใหญ่ในหลายจังหวัด ครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศเกิดความเสียหายต่อระบบสาธารณูปโภค เส้นทางคมนาคมชำรุดเสียหายโดยเฉพาะถนนทางหลวงชนบทซึ่งประชาชนได้รับความเดือดร้อนเป็นอย่างมาก จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องเร่งฟื้นฟูเส้นทางให้คืนกลับสู่สภาพเดิม
คณะรัฐมนตรี (ครม.) ยุดรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้มีมติเมื่อวันที่ 6 กันยายน 2554 มอบหมายให้กระทรวงคมนาคม เร่งดำเนินการซ่อมแซมก่อสร้างถนนที่ถูกน้ำท่วมสูงและประชาชนไม่สามารถสัญจรได้ตามปกติเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนในเบื้องต้น และหลังน้ำลด
จากการสรุปข้อมูลความเสียหายจากเหตุอุทกภัย ของกรมทางหลวงชนบท ระหว่างวันที่ 28 กรกฎาคม 2554 ถึงวันที่ 13 มกราคม 2555 พบว่ามีสายทางที่ประสบปัญหาอุทกภัยในพื้นที่ 73 จังหวัด จำนวน 1,079 สายทาง โดยมีสายทางที่ได้รับความเสียหายจากเหตุอุทกภัยที่ต้องได้รับการช่วยเหลือเร่งด่วน จานวน 1,056 สายทาง และไม่ได้รับความเสียหาย จานวน 23 สายทาง
โดยประมาณการงบประมาณในการฟื้นฟูสายทางเบื้องต้น เป็นเงิน 12,230.20 ล้านบาท
ต่อมา เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2554 คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติโครงการฟื้นฟูทางหลวงชนบท อันเนื่องมาจากเหตุอุทกภัย เพื่อฟื้นฟูสายทางที่ได้รับความเสียหายจากปัญหาอุทกภัย ภายใต้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 (งบกลาง) โดยกรมทางหลวงชนบทได้รับการจัดสรรงบประมาณดำเนินการรวม 532 สายทาง ในพื้นที่ 69 จังหวัด เป็นเงิน 4,971.29 ล้านบาท ซึ่งได้ดำเนินการจัดจ้างและจัดทำสัญญาจ้างดำเนินการแล้ว
ต่อมามีการยกเลิกเนื่องจากมีความซ้าซ้อน จำนวน 3 สัญญา เหลือสายทางที่ดำเนินการฟื้นฟูตามโครงการรวม 529 สายทาง วงเงิน 4,944.65 ล้านบาท
ผลการตรวจสอบ
สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ตรวจสอบการดำเนินโครงการ โดยการตรวจสอบเอกสารการดำเนินงาน สุ่มตรวจสอบสังเกตการณ์สายทาง จำนวน 137 สายทาง สัมภาษณ์ผู้บริหารของกรมทางหลวงชนบททั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค สอบถามเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง และสัมภาษณ์ประชาชนที่อยู่ในบริเวณพื้นที่สายทาง ในภาพรวมพบว่ากรมทางหลวงชนบทสามารถดำเนินการฟื้นฟูทางหลวงชนบทที่ได้รับความเสียหายจากเหตุอุทกภัยให้กลับมาสู่สภาพปกติได้อย่างรวดเร็ว
โดยการฟื้นฟูสายทางส่วนใหญ่เป็นไปตามแผนที่กำหนด ทำให้ประชาชนสามารถสัญจรได้อย่างสะดวก
ทั้งนี้ หากพิจารณาจากผลการดำเนินงานในแต่ละขั้นตอนของการปฏิบัติงานที่สำคัญ พบว่า มีหลายสายทางที่มีผลการปฏิบัติงานเป็นไปตามแนวทางที่กรมทางหลวงชนบทกำหนด เช่น
1. จัดทำแบบสำรวจสภาพความเสียหายของสายทางหลังน้ำลดและบันทึกข้อมูลผลการสำรวจครบทุกแบบเป็นไปตามแนวทางที่กำหนด จำนวน 8 สายทาง ได้แก่ สทช.ที่ 13 (ฉะเชิงเทรา) จำนวน 5 สายทาง สทช.ที่ 1 (ปทุมธานี) สทช.ที่ 11 (สุราษฎร์ธานี) และสทช.ที่ 14 (สุพรรณบุรี) สำนักละ 1 สายทาง
2. การออกแบบซ่อมบารุงสายทางโดยคำนึงถึงการแก้ไขปัญหาระยะยาว เช่น การยกระดับสายทาง ซึ่งเป็นลักษณะของการวางแผนเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาน้าท่วมสายทางซ้ำซาก จำนวน 9 สายทาง ได้แก่ สทช.ที่ 7 (อุบลราชธานี) จำนวน 6 สายทาง สทช.ที่ 11 (สุราษฎร์ธานี) สทช.ที่ 15 (อุดรธานี) และสทช.ที่ 18 (กระบี่) สำนักละ 1 สายทาง
3. สายทางที่ดำเนินการฟื้นฟูไม่เกิดปัญหาความชำรุดเสียหายหรือมีสภาพปกติ (ข้อมูลเพียงวันที่เข้าสังเกตการณ์ซึ่งยังอยู่ในระหว่างการค้าประกันตามสัญญา) จำนวน 25 สายทาง ได้แก่ สทช.ที่ 11 (สุราษฎร์ธานี) จำนวน 8 สายทาง สทช.ที่ 8 (นครสวรรค์) จำนวน 6 สายทาง สทช.ที่ 6 (ขอนแก่น) จำนวน 5 สายทาง สทช.ที่ 18 (กระบี่) จำนวน 2 สายทาง สทช.ที่ 1 (ปทุมธานี) สทช.ที่ 7 (อุบลราชธานี) สทช.ที่ 13 (ฉะเชิงเทรา) และสทช.ที่ 14 (สุพรรณบุรี) สานักละ 1 สายทาง
อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบการดำเนินงานโครงการฟื้นฟูทางหลวงชนบท อันเนื่องมาจากเหตุอุทกภัย ยังพบปัญหาหรือความเสี่ยงบางประการซึ่งส่งผลต่อประสิทธิภาพ ประสิทธิผล และความคุ้มค่าของการดำเนินงานตามโครงการ
โดยพบว่าการดำเนินการฟื้นฟูสายทางตามโครงการไม่เป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนด โดยบางสายทางไม่ประสบปัญหาอุทกภัย ข้อมูลการรายงานสภาพความเสียหายและการฟื้นฟูสายทางที่ประสบปัญหาอุทกภัยตามโครงการไม่ครบถ้วน ไม่ชัดเจน และไม่เป็นไปตามคู่มือที่กำหนด การออกแบบซ่อมบารุงสายทางไม่เหมาะสม และการตรวจสอบสภาพความชำรุดบกพร่องในระหว่างค้ำประกันสัญญาและการแจ้งซ่อมไม่เป็นไปตามแนวทางที่กำหนด ส่งผลกระทบดังนี้
- ทำให้การใช้จ่ายเงินงบประมาณแผ่นดินในการฟื้นฟูสายทางอาจไม่มีประสิทธิภาพ ทำให้การดำเนินงานตามโครงการบางสายทางเป็นไปโดยไม่โปร่งใส และไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของการสนับสนุนงบประมาณแผ่นดิน ซึ่งรัฐบาลได้อนุมัติงบประมาณเป็นการเร่งด่วนเพื่อฟื้นฟูเยียวยาแก้ไขปัญหาความเสียหายที่เกิดขึ้นเนื่องมาจากเหตุอุทกภัย โดยยังมีสายทางที่ประสบปัญหาอุทกภัยและได้รับความเสียหายซึ่งมีความจำเป็นเร่งด่วนในการฟื้นฟู แต่ไม่ได้รับการจัดสรรงบประมาณในการฟื้นฟู หรือได้รับการฟื้นฟูไม่ครอบคลุมพื้นที่ที่ได้รับความเสียหาย เนื่องจากมีการพิจารณาจัดสรรงบประมาณไปดำเนินการในสายทางที่ไม่ประสบปัญหาอุทกภัย ซึ่งพบว่าใช้จ่ายเงินในการดำเนินการในกรณีดังกล่าว รวมทั้งสิ้น 290.13 ล้านบาท
- กรมทางหลวงชนบทขาดข้อมูลสำคัญสำหรับใช้ประกอบการพิจารณาวางแผนงบประมาณเพื่อฟื้นฟูซ่อมแซมสายทางได้อย่างมีประสิทธิภาพ และในการจัดลำดับความสำคัญของสภาพปัญหาและความจำเป็นของแต่ละสายทาง ซึ่งส่งผลให้อาจมีบางสายทางที่ประสบปัญหามากกว่าแต่ไม่ได้รับการจัดสรรงบประมาณตามโครงการ
- ทำให้การใช้จ่ายงบประมาณเป็นไปด้วยความไม่ประหยัด เพราะการออกแบบซ่อมบำรุง ไม่สอดคล้องตามสภาพความเสียหายที่เกิดขึ้น ประกอบกับข้อมูลที่ปรากฏถึงความเสียหายยังไม่ชัดเจน ทั้งลักษณะความเสียหายและระยะทางที่เกิดความเสียหาย
- ทำให้ความชำรุดเสียหายของสายทางอาจลุกลามแผ่วงกว้างออกไป หากการซ่อมสายทางล่าช้าหรือการแจ้งซ่อมไม่ครบถ้วน ซึ่งจะเป็นอันตรายต่อผู้ใช้รถใช้ถนน
- ทำให้เป็นภาระต่อการใช้จ่ายเงินงบประมาณแผ่นดินในการซ่อมบารุงสายทาง หากไม่มีการแจ้งให้ผู้รับจ้างทาการซ่อมในระหว่างค้าประกันสัญญาหรือดำเนินการซ่อมแซมไม่ได้มาตรฐาน
- ทำให้การใช้จ่ายเงินงบประมาณแผ่นดินในการตรวจสอบสภาพความชำรุดบกพร่องในระหว่างค้ำประกันสัญญาของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องอาจไม่คุ้มค่า และอาจเกิดความไม่โปร่งใสในการปฏิบัติงาน เนื่องจากการรายงานข้อมูลการตรวจสอบสภาพความชำรุดบกพร่องในระหว่างค้ำประกันสัญญายังไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริง
สำหรับการดำเนินการฟื้นฟูสายทางตามโครงการไม่เป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนด
จากการสุ่มตรวจสอบสายทางที่ดำเนินการฟื้นฟูภายใต้โครงการ จานวน 137 สายทาง ในพื้นที่ 21 จังหวัด โดยการสังเกตการณ์พื้นที่สายทางรวมถึงรอยคราบน้ำที่ปรากฏบนสิ่งก่อสร้างบริเวณสายทาง เช่น เสาไฟฟ้า รั้ว อาคารบ้านเรือนประชาชน เป็นต้น
สัมภาษณ์ประชาชนที่อยู่บริเวณพื้นที่สายทาง และตรวจสอบหลักฐานจากภาพถ่ายน้ำท่วมสายทางของสำนักงานทางหลวงชนบทจังหวัด ตลอดจนสอบถามเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องที่ร่วมสังเกตการณ์ในพื้นที่ พบว่ามีสายทางที่ไม่ประสบปัญหาอุทกภัย จำนวน 21 สายทาง หรือคิดเป็นร้อยละ 15.33 วงเงินตามสัญญารวมจานวน 290.13 ล้านบาท ซึ่งจากการสอบถามเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเห็นว่าสภาพปัญหาของสายทางดังกล่าวได้รับผลกระทบจากฝนตกหนักต่อเนื่อง น้ำไหลพาดผ่านทางในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ หรือได้รับผลกระทบจากปัญหาน้าท่วมขังสองข้างทาง อาจเกิดปัญหาน้ำาซึมถึงชั้นโครงสร้างทาง และมีสายทางที่ประสบปัญหาอุทกภัย จำนวน 116 สายทาง หรือคิดเป็นร้อยละ 84.67
ข้อตรวจพบต่อมาคือ ข้อมูลการรายงานสภาพความเสียหายและการฟื้นฟูสายทางที่ประสบปัญหา อุทกภัยตามโครงการไม่ครบถ้วน ไม่ชัดเจน และไม่เป็นไปตามคู่มือที่กำหนด
จากการตรวจสอบเอกสารการสารวจสภาพความเสียหายหลังน้ำลดของสายทางที่ สุ่มตรวจสอบ จานวน 137 สายทาง พบว่าสายทางที่ไม่มีข้อมูลการสารวจสภาพความเสียหาย สายทาง คิดเป็นร้อยละ 7.30 ในขณะที่สายทางอีกร้อยละ 92.70 มีข้อมูลการสำรวจสภาพความเสียหายแต่ปรากฏว่าส่วนใหญ่จัดเก็บไม่ครบทุกแบบตามที่กาหนด อีกทั้งการจัดเก็บข้อมูลแต่ละรายการที่กาหนดตามแบบยังไม่ครบถ้วนและรูปแบบการจัดเก็บข้อมูลไม่เป็นไปตามแนวทางที่กาหนด
หากพิจารณาตามแบบสารวจที่กำหนดให้จัดทำ 5 แบบ ปรากฏว่า มีเพียง 8 สายทางที่จัดทำครบทุกแบบ นอกจากนี้ หากพิจารณารายละเอียดข้อมูลที่จัดทำตามแบบสารวจแต่ละรูปแบบตามที่กำหนด จาก สายทางที่มีการจัดทำในแต่ละแบบ พบว่าไม่ได้มีการจัดเก็บข้อมูลหรือระบุข้อมูลไม่ครบถ้วนตามแบบ
ส่วนกรณีการออกแบบซ่อมบำรุงสายทางไม่เหมาะสม
จากการสุ่มตรวจสอบสายทาง จำนวน 137 สายทาง เกี่ยวกับการออกแบบซ่อมบารุง สายทางตามโครงการ โดยพิจารณาข้อมูลความเสียหายตามแบบสำรวจสภาพความเสียหายของ สายทางกับข้อมูลตามแบบซ่อมบารุงสายทาง ตลอดจนการสังเกตการณ์ในสายทางที่ดำเนินการรวมถึงสัมภาษณ์ประชาชนในพื้นที่ พบว่าการออกแบบซ่อมบำรุงในบางสายทางยังไม่สอดคล้องกับสภาพความเสียหายที่ได้สำรวจไว้หรืออาจมากเกินความจำเป็น และการออกแบบซ่อมบารุงดำเนินการมากกว่าหรือนอกเหนือจากช่วงที่ประสบปัญหาอุทกภัย การออกแบบซ่อมบำรุงงานเครื่องหมายจราจรสงเคราะห์ไม่ระบุตำแหน่ง พิกัด หรือจุดที่จะดำเนินการไว้อย่างชัดเจน
นอกจากนี้ ยังมีกรณีการตรวจสอบสภาพความชำรุดบกพร่องในระหว่างค้ำประกันสัญญาไม่ตรงตามข้อเท็จจริงและการแจ้งซ่อมไม่เป็นไปตามแนวทางที่กำหนด
จากการตรวจสอบข้อมูลตามรายงานการตรวจสอบสภาพความชำรุดบกพร่องของสายทางในระหว่างค้ำประกันสัญญาทุกระยะ 3 เดือน จำนวน 135 สายทาง (มีสายทางที่ยังไม่ครบกำหนดการติดตาม 2 สายทาง) พบปัญหาทั้งความบกพร่องในระหว่างค้ำประกันสัญญาไม่ตรงตามข้อเท็จจริง และการแจ้งผู้รับจ้างเข้าซ่อมแซมสายทางที่ชำรุดบกพร่องยังไม่เป็นไปตามแนวทางที่กำหนด
เบื้องต้น สตง. ได้ทำรายงานฉบับเต็ม แจ้งให้อธิบดีกรมทางหลวงชนบท ไปพิจารณาแก้ไขการปฏิบัติงานให้มีประสิทธิภาพขึ้นแล้ว
ส่วนปัญหาความไม่ชอบมาพากล โดยเฉพาะการว่าจ้างเอกชนเข้ามารับงาน อยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อมูลเชิงลึกอยู่ต่อไป
นี่คือ ข้อมูลสำคัญ ที่ คสช. และพล.อ.ประยุทธ์ ควรรู้ไว้ และนำไปพิจารณาหาแนวทางการป้องกันปัญหา โดยเฉพาะเรื่องการทุจริตคอร์รัปชั่นให้หมดไป ก่อนที่จะเริ่มต้นเดินหน้ายกเครื่องงานพัฒนาโครงสร้างด้านพื้นฐานของประเทศอย่างเต็มรูปแบบ ตามที่ตั้งไว้ใจ
เพราะงบประมาณการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานการคมนาคมประเทศ ทั้งระบบ ซึ่งน่าจะมีมูลค่าหลายล้านล้านบาท
อาจกำลังล่อตาล่อใจ "ใคร" หลายคนอยู่ในขณะนี้ก็เป็นได้?