- Home
- Isranews
- รายงาน-สกู๊ป
- ปฏิรูปการเมืองใต้หลักนิติธรรม ในมุม“ชวน-บวรศักดิ์"งาน 16 ปี ศาล รธน.
ปฏิรูปการเมืองใต้หลักนิติธรรม ในมุม“ชวน-บวรศักดิ์"งาน 16 ปี ศาล รธน.
“..ทำสิ่งที่ถูกให้ถูกทำสิ่งที่ผิดให้ผิด อย่าไปกลัว อย่าไปเกรงใจ ผมรู้ว่าการคุกคามมีหลายรูปแบบ บางทีคุกคามด้วยการให้ผลประโยชน์ พฤติกรรมคนประเภทนี้มีอยู่ในสังคม บ้านเมืองมีทั้งคนดีและคนไม่ดี แต่ต้องส่งเสริมคนดีให้คนดีขึ้นปกครองบ้านเมือง.."
ในช่วงเช้าวันที่ 24 เมษายน 2557 ที่ผ่านมา ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น ถนนวิภาวดี ศาลรัฐธรรมนูญจัดโครงการสัมมนาทางวิชาการเนื่องในวาระครบรอบ 16 ปี ศาลรัฐธรรมนูญ เรื่อง “การปฏิรูปการเมืองภายใต้หลักนิติธรรม” ซึ่งมีนายจรูญ อินทจาร ประธานศาลรัฐธรรมนูญ และตุลาการศาลรัฐธรรมนูญร่วมงานด้วย
โดยมีนายชวน หลักภัย อดีตนายกรัฐมนตรี ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ เลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า ร่วมบรรยายพิเศษ
ทั้งนี้ “จรูญ” กล่าวเปิดงานว่า รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540 ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิรูปการเมืองไทย ซึ่งเป็นครึ่งแรกที่กระบวนการร่างรัฐธรรมนูญเกิดจากความร่วมมือร่วมใจของคนในชาติ เพื่อปรับโครงการสร้างทางการเมืองให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น พร้อมทั้งได้จัดตั้งศาลรัฐธรรมนูญขึ้นเป็นครั้งแรกของประเทศไทย
“ปัจจุบันรัฐธรรมนูญ 2550 มีเจตนารมณ์ต่อเนื่องจากรัฐธรรมนูญ 2540 โดยมุ่งเน้นให้ความสำคัญกับหลักนิติธรรม ตามมาตรา 3 วรรสอง บัญญัติว่า การปฏิบัติหน้าที่ของรัฐสภา ครม. ศาล รวมทั้งองค์กรตามรัฐธรรมนูญและหน่วยงานของรัฐ ต้องเป็นตามหลักนิติธรรม”
นายชวน กล่าวว่า หลักธรรมาภิบาลที่ดีขอให้ตัวอย่างหนึ่งที่สำคัญคือหลักนิติธรรม เพราะการยึดมั่นใจหลักกฎหมายเป็นส่วนสำคัญยิ่งในการบริหารจัดการบ้านเมือง ถ้ายึดหลักกฎหมายคงไม่ทำให้บ้านเมืองมีปัญหา ตรงกันข้ามถ้าทำงานด้วยวิธีการนอกกฎหมายจะเป็นการสร้างปัญหาใหม่ เช่น ปัญหาในจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นตัวอย่างได้อย่างดี ปีพ.ศ.2544-2546 มีกระบวนการฆ่าทิ้ง มันจึงเกิดปัญหามาถึงทุกวันนี้ และรวมถึงการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการด้วย
นายชวน กล่าวถึงการทำหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญ ว่า “ท่านไม่ใช่มือสมัครเล่น ความเป็นมืออาชีพจำเป็นอย่างยิ่งในทุกงานที่ทำ ฉะนั้นตำรวจมืออาชีพ อัยการมืออาชีพ ล้านมีความสำคัญอย่างยิ่ง ความเป็นมืออาชีพทำให้เกิดความเชื่อมั่น”
“แต่สิ่งที่ห่วงท่านคือแม้จะเป็นผู้พิพากษามายาวนาน แต่มีคนมาทำร้ายมาด่าทุกวัน ท่านเคยมีหรือไม่ ผมว่าท่านไม่เคยเจอถึงขนาดนี้ จึงอยากขอให้กำลังใจ ไม่บังอาจแนะนำ ท่านมีความพร้อมจนกว่าจะแนะนำอยู่แล้ว ขอให้เชื่อมั่นใจการทำสิ่งที่ถูกต้อง”
“ผมขอแนะนำให้พระราชดำรัส พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ในวันที่ 4 ธันวาคม 2548 ท่านบอกว่าพระเจ้าแผ่นดินทำผิดได้ แต่ท่านไม่ทำ และท่านเตือนคนที่ทำงานว่าให้ระมัดระวังทำในสิ่งที่ถูกต้อง”
นายชวน กล่าวต่อว่า หลักธรรมาภิบาลมี 6 ข้อ แต่ขอแถมเพิ่มอีก 1 ข้อคือหลักความเกรงใจ อย่าเกรงใจทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เพราะมันมีพฤติกรรมหลายเรื่อง ถ้าเกรงใจแล้วทำในสิ่งที่ผิดมันจะจารึกไปตลอด หลายคนทำผิดหลักนิติธรรมเพราะความเกรงใจ ขอให้พวกเราทั้งหลายอย่าได้หวั่นไหว อย่าให้คนต้องฝึกอาวุธด้วยตัวเอง เพื่อป้องกันตัวเอง
“ทำสิ่งที่ถูกให้ถูก ทำสิ่งที่ผิดให้ผิด อย่าไปกลัว อย่าไปเกรงใจ ผมรู้ว่าการคุกคามมีหลายรูปแบบ บางทีคุกคามด้วยการให้ผลประโยชน์ พฤติกรรมคนประเภทนี้มีอยู่ในสังคม บ้านเมืองมีทั้งคนดีและคนไม่ดี แต่ต้องส่งเสริมคนดีให้คนดีขึ้นปกครองบ้านเมือง ถ้าตระกหนักว่าแต่ละคนมีหน้าที่สำคัญ ผมก็เชื่อว่าบ้านเมืองนี้เราจะมีสิ่งคุ้มกันได้ อย่าใช้พระสยามเทวาธิราชเปลือง ประชาชนต้องตระหนักเรียนรู้”
ด้านนายบวรศักดิ์ กล่าวว่า ขณะนี้ในประเทศไทย มีการเรียกร้องให้มีการปฏรูปประเทศ ทั้งฝ่ายที่ต่อต้านรัฐบาล คือ กลุ่มกปปส. และตัวรัฐบาลเอง ที่ก่อนหน้านี้เคยพยายามตั้งสภาปฏิรูป ซึ่งตลอด 20 ปีที่ผ่านมานี้ กระแสปฏิรูปในโลกกมีความรุนแรงขึ้น สิ่งสำคัญของการปฏิรูปมีจุดหมายเดียวกัน คือเพื่อเพิ่มอำนาจความทรงธรรม และกำจัดอำนาจเสียงข้างมากให้อ่อนลง ถ้าหากพิจารณาประชาธิปไตย พัฒนาการประชาธปิไตยเคียงคู่กับหลักนิติธรรมตลอด การปฏิรูปประชาธิปไตยคือการปฏิรูปนิติธรรม ที่ผ่านมายังมีปัญหาและมีการหาทางออกมาโดยตลอด
“การตั้งศาลรัฐธรรมนูญขึ้น เพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญเป็นผู้ควบคุมการตรารัฐธรรมนูญ ไม่ให้ขัดกับรัฐธรรมนูญ พร้อมกำหนดให้คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ เป็นกฎหมายผูกพันทุกองค์กร ทั้งรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ซึ่งรัฐธรรมนูญปี 40 และปี 50 ได้บัญญัติไว้ แสดงให้เห็นว่าการยกสถานะศาลรัฐธรรมนูญเป็นองค์กรที่ทำหน้าที่เท่าเทียมกับรัฐสภา เพื่อพิทักษ์กฎหมาย ควบคุมกฎหมายเพื่อไม่ให้ขัดรัฐธรรมนูญ รวมไปถึงการควบคุมการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญของรัฐสภาด้วย จึงไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะเป็นการป้องกันเผด็จการรัฐสภา เพื่อไม่ให้องค์กรที่รัฐธรรมนูญตั้งขึ้นมานั่นทำลายรัฐธรรมนูญเสียเอง”
นายบวรศักดิ์ กล่าวต่อว่า ขอเสนอแนวทางปฏิรูปดังนี้ 1.ปฏิรูปรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายทรงธรรม เหนือองค์ทุกองค์ที่รัฐธรรมนูยตั้งขึ้น การแก้ไขรัฐธรรมนูญในแต่ละครั้งต้องมีการลงประชามติจากประชาชน และพระมหมากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไททุกครั้ง ซึ่งถ้าประชาชนไม่เห็นชอบและพระมหากษัตริย์ไม่ลงพระปรมาภิไท ให้ถือว่าร่างรัฐธรรมนูญนั้นเป็นอันตกไป นอกจากนั้น ต้องให้ศาลรัฐธรรมนูญตรวจสอบกการแก้ไขรัฐธรรมนูญของรัฐสภาทุกครั้งโดยอัตโนมัตก่อนการลงประชามติของประชาชน ถึงแม้ในขณะนี้รัฐธรรมนูญ มาตรา 291 ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจในการตรวจสอบอยู่แล้ว แต่ต้องมีผู้ยื่นเรื่องเข้ามาถึงจะตรวจสอบได้
2.เห็นว่าการปฏิรูปต้องไม่ทำตามอำเภอใจของทุกองค์กร ทั้งที่ก่อนหน้านี้ แม้แต่ระบอบราชาธิปไตยนิติธรรมยังอยู่เหนือพระมหากษัตริย์ ยิ่งในระอบอบประชาธิปไตย จึงมิอาจปฏิเสธหลักนิติธรรมได้ แต่หลักนิติธรรม ไม่ใช่ลายลักอักษร แต่เป็นแนวทางในการปกครองที่มาจากหลักนิติธรรมตามธรรมชาติ ปราศจากอคติมาแอบแฝง ซึ่งทุกองค์กรต้องยึดในแนวทางปฏืบัติ ดังนั้น หลักนิติธรรมจึงอยู่เหนือกฎหมายที่เป็นลายลักอักษร ที่จะออกมาเพื่อขัดรัฐธรรมนูญไม่ได้
3.การปฏิรูปใหม่จะต้องจัดการผลประโยชน์ ยกเลิกประชานิยม เปลี่ยนเป็นรัฐสวัสดิการ รัฐธรรมนูญ ปี40 และปี 50 ทำให้คนส่วนใหญ่ไม่ได้เข้าถึงทรัพยากร เป็นช่องว่างให้พรรคการเมืองนักการเมืองฉวยโอกาสหาเสียงนโยบายประชาานิยม ดังนั้น การปฏิรูปการเมือง ต้องยกเลิกประชานินยม และการหารเสียงประชานิยมต้องระบุค่าใช้จ่ายในนโยบายอย่างละเอียด ให้หัวหน้าพรรคที่มีเสียงในรัฐสภา ต้องดีเบตนโยบายประชานิยมทางทีวี และต้องกำหนดว่าการกู้เงินของรัฐบาล ต้องทำเพื่อลงทุนเท่านั้น จะไปกู้เงินมาใช้เรื่องอื่นไม่ได้ พร้อมกันนี้ต้องจัดตั้งองค์กรจัดสรรทรัพยากร ที่มีอำนาจในการเสนอแนะและจัดสรรให้แกประชาชน โดยตราเป็นกฎหมาย ไม่ใช่ให้ตามอำเภอใจ
4.ควรปฏิรูปการแบ่งแยกอำนาจจากพรรคการเมือง และกลุ่มอาชีพต่างๆ โดยให้สภาผู้แทนมาจากพรรคการเมือง ส่วนวุฒิสภามาจากผู้เเชี่ยวชาญจากสาขาอาชีพต่างๆ เพื่อคานอำนาจกัน และในสภาผู้แทนต้องยกเลิกผู้สมัครส.ส.ต้องสังกัดพรรค เพื่อให้อิสระในการทำงาน พร้อมกันนี้ต้องมีการคุ้มครองฝ่ายเสียงข้างน้อยทางการเมือง โดยเฉพาะเฉลี่ยเวลาการออกสื่อฯทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาลให้เท่าเทียมกัน นอกจากนั้นให้ข้าราชการตั้งสหภาพได้ เพื่อตตรวจสอบการทำงานฝ่ายบริหาร และจัดให้มีการประเมินเพื่อตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล รัฐสภา ได้ตลอดเวลา
5.ต้องปฏิรูปสื่อ ต้องให้สื่อฯเป็นอิสระ ปราศจากการแทรกแซงจากรัฐ และนายทุน ถึงแม้วันนี้จะมีสื่อฯที่ไม่ถูกแทรกแซงการทำงานจากรัฐ แต่สื่อฯก็ต้องตกอยู่ภายใต้นายทุน ทำให้ไม่เป็นอิสระในการนำเสนอข่าวอย่างตรงไปตรงมา นอกจากนี้ต้องยุติสื่อฯที่ยั่วยุให้เกิดความรุนแรง สื่อฯเลือกข้าง ไม่ว่าจะเป็นสื่อสีแดง สีน้ำเงิน สีเหลือง
6.ต้องออกกฎหมายว่าด้วยการชุมนุมสาธารณะ
และ7.ปฎิรูปกระบวนการยุติธรรมทั้งระบบ โดยเฉพาะกระบวนการยุติธรรมต้นทาง คือ ตำรวจ ต้องปฏิรูปทุกระดับ
ทั้งหมดคือเนื้อหาสาระของงานสัมมนาในวาระ 16 ปี ศาลรัฐธรรมนูญ เรื่อง “การปฏิรูปการเมืองภายใต้หลักนิติธรรม” ที่สามารถนำไปเป็นเข็มทิศนำทาง “การเมืองไทย” ได้ในอนาคต
////