- Home
- Isranews
- เกาะประเด็น
- “เอนก”ย้ำร่างรธน.มุ่งแก้ขัดแย้ง-วอนให้คนในชาติตัดสิน
“เอนก”ย้ำร่างรธน.มุ่งแก้ขัดแย้ง-วอนให้คนในชาติตัดสิน
"เอนก"ย้ำร่างรธน.มุ่งแก้ขัดแย้ง มั่นใจเปลี่ยนผ่านการเมืองไปสู่การปรองดอง–ปฏิรูป–พัฒนาประชาธิปไตย ระบุคปป.เป็นคำของครม.
5 ก.ย.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ กรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ เปิดเผยว่า โจทย์ในการร่างรัฐธรรมนูญสำหรับสังคมไทย หลังวันที่ 22 พ.ค.2558 คือทำอย่างไรจะสามารถ“นำพาชาติไปสู่สันติสุข” ได้ด้วยการออกแบบกลไกที่เอื้อให้เกิดการคลี่คลายความขัดแย้งทางการเมืองที่รุนแรงยืดเยื้อในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ให้เกิดความสมานฉันท์ปรองดองและสร้างความพร้อมสำหรับการปฏิรูปที่จะนำสังคมไทยไปสู่การพัฒนา“ประชาธิปไตย” การหาทางออกสามารถทำได้อย่างมากในทางทฤษฎี แต่สังคมไทยมองเห็นทางเลือกใหม่ๆได้ยากคือบรรยากาศและอารมณ์ของคนที่ยังอยู่ในความขัดแย้งที่สั่งสมมาจากปัญหาระหว่างบุคคลในฝ่ายการเมือง กลุ่มที่มีอุดมการณ์แตกต่างกันการขาดธรรมาภิบาลในการบริหารประเทศ ความเหลื่อมล้ำ และความไม่เป็นธรรมในการพัฒนาของคนในต่างพื้นที่ ฯลฯ
นายเอนก กล่าวอีกว่า กมธ.ยกร่างฯ จึงให้ความสำคัญกับการออกแบบโครงสร้างและระบบในทางการเมืองที่คำนึงถึงทิศทาง กลไก และขั้นตอนที่เอื้อให้สังคมไทยสามารถเคลื่อนออกไปจากจุดเดิมได้ โดยการปรับหลักคิดและสัมพันธภาพใหม่ระหว่างภาคส่วนต่างๆในสังคมไทย ให้ในระยะเปลี่ยนผ่านจากความขัดแย้งไปสู่การปรองดองปฏิรูป และประชาธิปไตยเกิดจากการแบ่งสรรอำนาจทางการเมืองที่เป็น “พหุนิยม” มากขึ้นนำระบบเลือกตั้งแบบสัดส่วนผสม ซึ่งสะท้อนเสียงของประชาชนตามสัดส่วนที่เป็นจริงเป็นปัจจัยที่เอื้อให้เกิด"รัฐบาลปรองดองเพื่อการปฏิรูปแห่งชาติ" ที่ยึดโยงกับประชาชนด้วยมติของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร มีการตรวจสอบถ่วงดุลโดยวุฒิสภาที่ประกอบด้วยสมาชิกจากหลายภาคส่วนในสังคม องค์กรอิสระ และภาคประชาชนที่รัฐธรรมนูญได้ขยายขอบเขตของสิทธิเสรีภาพ การมีส่วนร่วมของประชาชน ทั้งในการตัดสินใจเชิงนโยบายและการบริหารท้องถิ่น รวมทั้งมีกลไกที่จะมุ่งเน้นการทำงานด้านการขับเคลื่อนการปฏิรูปและการสร้างความปรองดอง คือคณะกรรมการยุทธศาสตร์การปฏิรูปและการปรองดองแห่งชาติ (คปป.) ซึ่งเป็นกลไกที่มาจากคำขอของครม.ที่เสนอเข้ามาว่าในกระบวนการปฏิรูปการคลี่คลายความขัดแย้งระหว่างคนในชาติเพื่อนำไปสู่การสร้างความปรองดองนั้นควรเป็นความรับผิดชอบของหลายฝ่ายที่ต้องดำเนินงานร่วมกันได้แก่ รัฐสภา ครม. หน่วยงานของรัฐทั้งหมด และประชาชน
นายเอนก กล่าวว่า การดำเนินงานของ คปป.จะถูกกำกับและตรวจสอบโดยองค์กรตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐตามรัฐธรรมนูญ สื่อมวลชน และภาคประชาชน นอกจากนี้จะถูกติดตามประเมินผลการทำงาน ทั้งโดยการประเมินผลตนเอง ซึ่งทำโดยสภาดำเนินการปฏิรูปและสร้างความปรองดอง และการประเมินผลการจากภายนอกโดยคณะกรรมการประเมินผลแห่งชาติเป็นการประเมินผลทุกปี ในกรณีที่เกิดเหตุการณ์วิกฤติของบ้านเมือง การใช้อำนาจของคปป.จะเริ่มขึ้นได้โดยมีเงื่อนไขว่าสถาบันทางการเมืองต่างๆตามรัฐธรรมนูญและครม.ไม่อาจดำเนินการเพื่อยุติกรณีดังกล่าวได้ โดยคปป.จะมีอำนาจใช้มาตรการที่จำเป็นจัดการกับสถานการณ์นั้น เพื่อจุดประสงค์ให้สถานการณ์กลับคืนสู่ภาวะปกติโดยเร็ว ซึ่งจำกัดขอบเขตการใช้อำนาจนั้นไว้ว่า “กรรมการทั้งหมดต้องมีมติ 2 ใน 3 และมีการปรึกษาหารือกับประธานศาลรัฐธรรมนูญและประธานศาลปกครองสูงสุดก่อนการใช้อำนาจดังกล่าว”
นายเอนก กล่าวอีกว่า การออกแบบโครงสร้างทางการเมืองในร่างรัฐธรรมนูญ มีเป้าประสงค์เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนผ่านจากสภาพที่มีความขัดแย้งทางการเมืองไปสู่การปรองดอง ปฏิรูปและการพัฒนาประชาธิปไตย ไม่ใช่พอการเลือกตั้งเกิดขึ้นแล้ว ทุกอย่างกลับไปเหมือนเดิมสิ่งสำคัญที่สุดคือความพร้อมของจิตวิญญาณและมโนธรรมของผู้ที่เป็นนักการเมืองว่ามีสำนึกของรัฐบุรุษและความรับผิดชอบต่อบ้านเมืองในระดับใด มีความสามารถและภาวะผู้นำในการนำสังคมไปสู่ความก้าวหน้าประนีประนอม หาจุดร่วมทำงานร่วมกันได้ภายในกรอบกติกาหรือไม่ เพราะต่อให้รัฐธรรมนูญดีแค่ไหน แต่คนทำงานและสังคมยังไม่พร้อม สังคมก็ไม่รอดพ้นจากวังวนเดิมๆ
“ฉากการเมืองรูปแบบนี้จะได้รับการยอมรับหรือไม่ ก็ต้องให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสิน ถ้าประชาชนเห็นด้วยก็เท่ากับเป็นอาณัติสัญญาณที่ประชาชนมอบมาให้ฝ่ายการเมืองว่าต้องทำ และจะต้องเขียนบทเฉพาะกาลกำหนดกรอบเวลาว่าจะใช้รูปแบบนี้ ในระยะเวลา 4-5 ปี เพื่อการนำไปสู่การปฏิบัติต่อไป”นายอเนก กล่าว.“