- Home
- Isranews
- เกาะประเด็น
- วุฒิสภายืนยันขอเปิดประชุมวิสามัญเม.ย.นี้
วุฒิสภายืนยันขอเปิดประชุมวิสามัญเม.ย.นี้
นายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธานวุฒิสภา คนที่ 1 ฐานะปฏิบัติหน้าที่แทนประธานวุฒิสภา เปิดเผยผลการหารือกับทีมกฎหมายสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ต่อการชี้แจงถึงการทำเรื่องขอเปิดประชุมวุฒิสภา สมัยวิสามัญ หลังจากที่เมื่อวันที่ 11 เม.ย. ทางสำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) ได้ทำหนังสือยืนยันว่าไม่สามารถเปิดการประชุมวุฒิสภาสมัยวิสามัญ เพื่อพิจารณาถอดถอนบุคคลออกจากตำแหน่งได้ ว่า วันที่ 17 เม.ย. นี้ ทางสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา จะทำหนังสือชี้แจงยืนยันการขอเปิดประชุมวิสามัญ อย่างเร็ว คือวันที่ 24 เม.ย. หรืออย่างช้าไม่เกินวันที่ 30 เม.ย. นี้
เพื่อให้วุฒิสภาทำหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 132 กำหนดไปยัง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รักษาการนายกฯ และรัฐมนตรีว่ากากระทรวงกลาโหม พร้อมกับให้รายละเอียดเกี่ยวกับกรอบการทำงานของวุฒิสภา เพื่อทำให้เห็นว่าการขอเปิดประชุมเพื่อให้วุฒิสภาทำหน้าที่นั้นไม่ได้เป็นไปตามที่ตนหรือใครเป็นผู้กำหนดขึ้นเอง คือประเด็นการถอดถอนบุคคลออกจากตำแหน่ง ภายหลังจากที่วุฒิสภาได้รับรายงานการพิจารณาจากคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) แล้ว ตามข้อบังคับการประชุมกำหนดให้วุฒิสภาพิจารณาเรื่องดังกล่าวนัดแรกภายใน 20วัน นับแต่วันที่รับรายงาน โดยล่าสุดในวันที่ 19 เม.ย.นี้ถือว่าครบกำหนดเวลาดังกล่าวแล้ว
และประเด็นการแต่งตั้งบุคคลตามรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะการให้ความเห็นชอบผู้ทรงคุณวุฒิเป็นกรรมการ ป.ป.ช. หลังจากที่กรรมการสรรหา กรรมการป.ป.ช.ส่งรายชื่อมายังวุฒสภา โดยวุฒิสภาต้องพิจารณาว่าจะเห็นชอบหรือไม่ภายใน 30 วันนับตั้งแต่วันที่ได้รับรายชื่อ ส่วนที่ความเห็นของกฤษฎีการะบุว่าการกำหนดระยะเวลาพิจารณาถอดถอนบุคคล ใน 20 วันนั้นถือเป็นระยะเวลาเร่งรัดไม่มีสภาพบังคับดังนั้นหากวุฒิสภาไม่ปฏิบัติตามกรอบจะไม่มีบทลงโทษ ตนเคารพในความเห็นดังกล่าว แต่ไม่สามารถปฏิบัติตามได้ เพราะต้องยึดถือกรอบการทำงานตามที่กฎหมายกำหนด และที่ผ่านมาวุฒิสภาได้ยึดถือกรอบดังกล่าวในการทำงานอย่างต่อเนื่อง
“ผมอยากวิงวอนนายกฯ ได้พิจารณาเรื่องเหล่านี้และให้ความเห็นชอบด้วย แต่หากท้ายสุดรัฐบาลยังยืนยันความเห็นว่าเปิดประชุมให้ไม่ได้ ทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องคงต้องส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย แต่ส่วนตัวเชื่อว่าจะหารือและได้ข้อสรุปได้ โดยไม่ไปรบกวนศาล แต่หากรัฐบาลเลือกแนวทางอนุญาตให้วุฒิสภาพิจารณาได้บางเรื่อง ตนก็ไม่ขัดข้องแต่ต้องชี้แจงเหตุผลที่เหมาะสมด้วย” นายสุรชัย กล่าว
นายสุรชัย กล่าวด้วยว่าตามความเห็นกฤษฎีกาที่นำความในรัฐธรรมนูญ มาตรา 273 ว่าด้วยการพิจารณาถอดถอนบุคคลนอกสมัยประชุม ต้องให้ประธานรัฐสภาเป็นผู้กราบบังคมทูลเพื่อมีพระบรมราชโองการเรียกประชุมสมัยวิสามัญและให้ประธานรัฐสภาเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ นั้น ในข้อเท็จจริงปัจจุบันถือเป็นช่วงที่ไม่มีรัฐสภา จึงไม่มีบุคคลทำหน้าที่ประธานรัฐสภา อีกทั้งระหว่างนี้ยังอยู่ระหว่างการจัดการเลือกตั้งรอบใหม่ จึงถือว่าไม่มีการประชุม ถือว่าขณะนี้ไม่ได้อยู่ทั้งในสมัยประชุมหรือนอกสมัยประชุม จึงต้องอาศัยบททั่วไป
โดยฝ่ายบริหารต้องดำเนินการกราบบังคมทูลเพื่อมีพระบรมราชโองการเรียกประชุมสมัยวิสามัญ โดยอาศัยความในรัฐธรรมนูญ มาตรา 195 ว่าด้วยการให้รัฐมนตรีลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ ในบทกฎหมาย พระราชหัตถเลขา และพระบรมราชโองการอันเกี่ยวเนื่องกับราชการแผ่นดิน ทั้งนี้เรื่องที่เป็นภารกิจของวุฒิสภา ถือเป็นเรื่องที่เกี่ยวเนื่องกับประโยชน์แผ่นดิน เพราะการแต่งตั้งบุคคลให้ไปทำงานตรวจสอบ หรือทำงานราชการก็เพื่อประโยชน์ของรัฐ เช่นเดียวกับเรื่องถอดถอนบุคคลที่มีอำนาจในบ้านเมืองก็เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินเช่นกัน
นายสุรชัย กล่าวยืนยันด้วยว่าการขอเปิดประชุมวุฒิสภา ช่วงปัจจุบันไม่มีนัยยะทางการเมือง แม้ขณะนี้จะมีการเสนอความเห็นว่าช่วงประชุมวิสามัญอาจจะมีบุคคลเสนอให้วุฒิสภาให้ความเห็นบุคคลที่จะเข้ามาทำหน้าที่นายกฯ ตามกลไกของรัฐธรรมนูญ มาตรา 7 หลังจากที่น.ส.ยิ่งลักษณ์ พ้นสภาพความเป็นนายกฯและ ครม.ลาออกทั้งคณะ อย่างไรก็ตามก่อนหน้านี้ที่มีสว.กลุ่ม40ระบุว่าจะเสนอญัตติเพื่อพิจารณาเรื่องที่เกี่ยวข้องกับมาตรา 7 นั้นตนไม่ทราบว่าคนที่ระบุมีเหตุผลอย่างไร แม้การเสนอญัตติในที่ประชุมวุฒิสภาจะสามารถทำได้ แต่มีขั้นตอนที่ต้องพิจารณา อาทิ การรับรองญัตติ, การอภิปรายให้เห็นผล และการให้ความเห็นชอบว่าจะให้พิจารณาญัตติในที่ประชุมได้หรือไม่ ทั้งนี้เชื่อว่าสว.จะมีการพิจารณาถึงความเหมาะสมและสถานการณ์ด้วย