ความเป็นมา กระบวนการจัดทำ ร่างพ.ร.บ.คุ้มครองสิทธิเสรีภาพสื่อ
"..ร่างของคณะอนุกรรมาธิการฯด้านสื่อสิ่งพิมพ์เป็นการออกแบบกฎหมายจากแนวคิด “ความสมัครใจ” ในการเข้ามาสู่การกำกับ ไม่ใช่แนวคิด “การบังคับให้จดทะเบียน” ดังนั้น การแก้ไขเพียงบางมาตราส่งผลให้เป็นกฎหมายที่มีการขัดกันเพราะอาจไม่มีผู้ประกอบวิชาชีพรายใดให้ความร่วมมือสมัครใจมาขึ้นทะเบียนเพื่อตกอยู่ภายใต้บังคับของกฎหมายฉบับนี้เลย.."
ความเป็นมา และกระบวนการจัดทำ ร่างพระราชบัญญัติการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ ส่งเสริมจริยธรรมและมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน พ.ศ. .... ของคณะอนุกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปด้านสื่อสิ่งพิมพ์
หลังจากได้รับการแต่งตั้งมอบหมายให้เป็นผู้ดำเนินการแล้วคณะอนุกรรมาธิการได้ดำเนินการตามขั้นตอนดังนี้
1. พิจารณาศึกษานโยบายของรัฐบาล แนวคิดของนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ต้องการให้มีการปฏิรูปสื่อทุกแขนง เพื่อให้เสนอข้อมูลและข่าวสารในทางสร้างสรรค์เป็นไปตามข้อเท็จจริง ข้อกฎหมาย และกระบวนการยุติธรรมไม่ละเมิดสิทธิของผู้อื่นที่ทำให้เกิดความเสียหาย ทั้งส่วนบุคคลและประเทศ โดยให้ผู้รับผิดชอบแต่ละสมาคมสื่อดูแลกันเอง ทั้งนี้ สื่อทุกประเภทต้องมีความเข้มแข็ง มีความน่าเชื่อถือ ใช้เสรีภาพอย่างมีขอบเขตและประชาชนต้องระมัดระวังในการบริโภคสื่อด้วย
2. พิจารณาศึกษารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.... (ฉบับที่ผ่านประชามติเมื่อวันที่ ๗ สิงหาคม 2559) ที่บัญญัติให้บุคคลซึ่งประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนมีเสรีภาพในการเสนอข่าวสารหรือแสดงความคิดเห็นตามจริยธรรมแห่งวิชาชีพ และการใช้เสรีภาพต้องไม่ขัดต่อหน้าที่ของปวงชนชาวไทย และศีลธรรมอันดีของประชาชน
3. พิจารณาศึกษาจากวาระปฏิรูปของสภาปฏิรูปแห่งชาติที่ 32 – 34 เรื่องการกำกับดูแลสื่อ สิทธิเสรีภาพสื่อบนความรับผิดชอบ และการป้องกันการแทรกแซงสื่อ โดยสภาปฏิรูปแห่งชาติได้จัดทำเป็นร่างพระราชบัญญัติการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ ส่งเสริมจริยธรรม และมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน พ.ศ. .... ขึ้น และให้ข้อเสนอแนะที่สำคัญไว้หลายประการ อาทิ ให้มีการจัดตั้ง “สภาวิชาชีพสื่อมวลชนแห่งชาติ” เพื่อให้การกำกับดูแลงานด้านการสื่อมวลชนในภาพรวมของประเทศ ให้เป็นไปตามบริบทที่เหมาะสม
และสอดคล้องกับสภาพการณ์ของสังคมไทยในปัจจุบัน ควรมีการออกแบบการจัดตั้งองค์กรสื่อมวลชนให้ชัดเจน ซึ่งอย่างน้อยต้องประกอบด้วย การกำหนดให้มีคณะกรรมการกำกับดูแลในด้านคุณธรรมจริยธรรมขององค์กร มีข้อกำหนดหรือแนวทางปฏิบัติด้านคุณธรรมจริยธรรมที่มีมาตรฐานอันเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไป มีกระบวนการและกลไกการจัดการเรื่องร้องเรียนอย่างเป็นระบบ ซึ่งหากมีการฝ่าฝืนจะต้องมีบทลงโทษที่ชัดเจนแน่นอน และมีสภาพการบังคับที่เหมาะสมทั้งในส่วนของตัวบุคคลและขององค์กร โดยไม่ควรกำหนดให้ผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนต้องมีใบประกอบวิชาชีพ แต่ควรมีการกำหนดมาตรการให้บุคคลที่มีความประสงค์จะประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนนั้น จะต้องเข้าเป็นสมาชิกขององค์การวิชาชีพสื่อมวลชน
4. การพิจารณาจากผลการศึกษาวิจัยเรื่อง กลไกการกำกับดูแลตนเองของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ภายใต้โครงการศึกษาวิจัยการปฏิรูปสื่อ ซึ่งมีสาระสำคัญโดยสรุปว่า จากเทคโนโลยีการหลอมรวมสื่อในปัจจุบัน ส่งผลให้เนื้อหาสื่อเดียวกัน จากผู้ผลิตเดียวกันสามารถเผยแพร่ไปยังผู้บริโภคผ่านสื่อได้หลากหลายช่องทางแต่มีการกำกับดูแลที่แตกต่างกัน ทำให้เกิดความไม่เสมอภาคในการแข่งขัน ในอนาคตระยะไกล การเผยแพร่เนื้อหาจะมุ่งไปสู่ช่องทางอินเทอร์เน็ต เพราะเทคโนโลยีก้าวหน้าอย่างรวดเร็วกว่า และการกำกับดูแลมีความเข้มงวดน้อยกว่าการแพร่ภาพกระจายเสียงหน่วยงานกำกับดูแลจะมีบทบาทน้อยลงคงเหลือเฉพาะการกำกับดูแลในมิติเศรษฐกิจ โดยการกำกับดูแลเนื้อหาเป็นไปได้ยาก การกำกับดูแลควรเป็นไปเพื่อหนุนเสริมตลาดที่ไม่สามารถทำงานได้อย่างสมบูรณ์ คำนึงถึงการคุ้มครองผู้บริโภคและผู้ด้อยโอกาสทางสังคม มีกลไกในการประเมินผลกระทบ (Regulatory Impact Assessment)
และกลไกทบทวนกฎระเบียบที่ใช้อยู่ (Regulatory Guideline) เพื่อลดความไม่แน่นอนจากการกำกับดูแล และเพิ่มการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้เสีย
5. สรุปผลการศึกษาด้านการกำกับดูแลของสื่อมวลชนในต่างประเทศ พบว่า ระบอบการปกครองของประเทศจะส่งผลสะท้อนต่อระบบการกำกับดูแลสื่อของแต่ละประเทศ สรุปได้ว่า สื่อหนังสือพิมพ์เป็นการกำกับดูแลที่เป็นอิสระและเป็นแบบสมัครใจ มีคณะกรรมการที่แต่งตั้งจากกลุ่มผู้ประกอบวิชาชีพ ตัวแทนจากสภาผู้แทน และสภาทนายความ ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ประกอบวิชาชีพสื่อ ผู้เสียหายสามารถร้องเรียนต่อสำนักงานรับเรื่องร้องเรียน มีการชี้แจงสาธารณชน กำหนดให้ต้องส่งรายงานปฏิบัติงานประจำปี รวมถึงสนับสนุนและเผยแพร่ความรู้ในการเป็นนักหนังสือพิมพ์ที่ดี ผู้ร้องเรียนสามารถยื่นอุทธรณ์คำตัดสินต่อสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติได้ ซึ่งสภาการหนังสือพิมพ์จะมีอิสระในการตัดสินใจว่าคำพิพากษาใดเหมาะสมที่สุด สำหรับการกำกับดูแลสื่อวิทยุและโทรทัศน์ ประเทศที่มีระบอบการปกครองแบบเสรีประชาธิปไตย มีการแบ่งแยกการกำกับดูแลออกเป็นด้านโฆษณาและด้านเนื้อหา
แต่ให้ความสำคัญกับการกำกับดูแลผู้ชมที่มีความอ่อนไหวสูงคือ เด็กและเยาวชนรวมถึงผู้อ่อนแอในด้านต่างๆไว้เป็นการเฉพาะ ซึ่งการออกแบบแนวคิดการกำกับดูแลโดยส่วนใหญ่เน้น ความเป็นอิสระขององค์กรกำกับดูแลที่แยกจากหน่วยงานกำกับดูแลผู้ประกอบการของภาครัฐ และส่วนใหญ่ใช้วิธีการแบบสมัครใจ อาจมีบุคคลภายนอกที่ไม่ใช่ผู้ปฏิบัติงานหรือผู้เกี่ยวข้องในกิจการด้านสื่อมวลชนบ้าง
แต่อย่างไรก็ตาม ต้องป้องกันมิให้มีภาครัฐเข้ามามีอิทธิพลเหนือหรือแทรกแซงการทำงานหรือการตัดสินใจของสื่อได้ มีการกำหนดมาตรฐานจริยธรรมที่เป็นที่ยอมรับในกลุ่มผู้ปฏิบัติหรือผู้ประกอบการและนำไปใช้เป็นแนวทางการทำงานร่วมกัน มีกลไกรับเรื่องร้องเรียน การพิจารณาเรื่องร้องเรียน และการเผยแพร่คำวินิจฉัยต่อสาธารณะรวมถึงการส่งเสริมให้ภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการตรวจสอบเพื่อการกำกับดูแลและร้องเรียนเพื่อให้กลไกการกำกับดูแลกันเองของสื่อได้รับการจับตามองและต้องคำนึงถึงผู้ชมพร้อมกันไปด้วย โดยพบว่า การกำกับกันเองด้านข่าวจะกำกับกันเอง โดยสภานักข่าวและผู้ตรวจการ (Ombudsman) เป็นที่น่าสังเกตว่า ในประเทศญี่ปุ่นแม้ว่าองค์กรกำกับดูแลจะไม่มีอำนาจลงโทษทางกฎหมายแก่องค์กรสมาชิกที่ละเมิด แต่ก็ยังได้รับการยอมรับจากทั้งผู้ประกอบการ ภาครัฐ และภาคประชาชน เพราะการแสดงบทบาทที่เข้มแข็งและสม่ำเสมอจนทำให้เป็นที่รู้จัก เนื่องจากเห็นว่าการร้องเรียนนำไปสู่ผลในทางปฏิบัติจริง เพราะถือเป็นการแสดงความรับผิดชอบและรับประกันความน่าเชื่อถือขององค์กร
ขณะเดียวกันก็ป้องกันการแทรกแซงจากภาครัฐในระยะยาว กลุ่มตัวอย่างประเทศในภูมิภาคอาเซียน นั้น สรุปได้ว่า ส่วนใหญ่เป็นประเทศมีการปกครองในระบอบสังคมนิยม หรือเผด็จการ หรือไม่มีเป้าหมายมุ่งไปสู่ประชาธิปไตยแบบเต็มรูปแบบ แต่ทุกประเทศก็ให้ความสำคัญกับความเป็นอิสระของผู้ทำหน้าที่สื่อมวลชนที่ต้องปฏิบัติงานอยู่บนพื้นฐานของมาตรฐานจริยธรรม หรือความรับผิดชอบ ซึ่งก็พบว่าทุกประเทศมีความพยายามในการสร้างกลไกหรือกระบวนการให้การกำกับดูแลสื่อที่มีความเป็นอิสระ และกำกับดูแลแบบสมัครใจ อีกทั้งมีความจำเป็นที่จะต้องให้เกิดช่องทางและกลไกการรับเรื่องร้องเรียนที่มีประสิทธิภาพ โดยจะเริ่มต้นจากการเจรจาไกล่เกลี่ยเพื่อให้สามารถยุติข้อขัดแย้งได้ในระดับหนึ่งก่อน โดยอินโดนีเซียเป็นประเทศที่ให้ความสำคัญกับการปกป้องนักข่าวไม่ให้ถูกแทรกแซงจากเจ้าของ
ส่วนการลงโทษมีบทลงโทษที่ชัดแจ้งเฉพาะประเทศฟิลิปปินส์เนื่องจากไม่มีบทบัญญัติรับรองสิทธิเสรีภาพของสื่อไว้ แต่ก็ยังเห็นความพยายามในการรวมตัวกันเพื่อกำกับดูแลกันเองอย่างเป็นอิสระ และการพิจารณาการละเมิดจริยธรรมก็จะยุติลงเมื่อมีการนำข้อพิพาทไปฟ้องร้องยังศาล ส่วนการกำกับดูแลสื่อออนไลน์ของต่างประเทศ
สรุปได้ว่า มีรูปแบบการกำกับดูแลในลักษณะของการรวมกลุ่มกันของภาคเอกชนที่มีส่วนได้ส่วนเสีย ในประเด็นต่าง ๆ ของอินเทอร์เน็ตร่วมกัน และเกิดจากความร่วมมือกันของผู้เชี่ยวชาญจากนานาชาติในสาขาวิชาและความสนใจด้านต่าง ๆ โดยในกรณีที่ต้องการป้องกันเด็กและเยาวชนจากเนื้อหาที่เป็นอันตรายบนอินเทอร์เน็ตที่อาจไม่สามารถพึ่งพาเพียงภาครัฐ ภาคเอกชน หรือองค์กรพัฒนาเอกชนฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้ การกำกับดูแลเนื้อหาอินเทอร์เน็ตจะสะท้อนถึงลักษณะการกำกับดูแลร่วมกันของภาครัฐและภาคเอกชนอย่างชัดเจน
6. มีการจัดประชุมสัมมนาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชนเพื่อรับฟังความคิดเห็นทั้งจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กับองค์กรสื่อมวลชน และผู้มีส่วนได้เสียในภูมิภาคต่างๆอีก ๓ ครั้ง
7. ภายหลังจากการการดำเนินการต่างขั้นตอนต่างๆดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น คณะอนุกรรมาธิการ ฯ จึงได้นำร่าง พระราชบัญญัติการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ ส่งเสริมจริยธรรม และมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน พ.ศ. .... ของสภาปฏิรูปแห่งชาติ มาพิจารณาและปรับแก้ให้สอดคล้องกับหลักการ ความคิดเห็น ข้อเสนอแนะจากทุกภาคส่วนจนเป็นที่มาของร่างฉบับแรกของคณะอนุกรรมาธิการ ฯ โดยมีหลักการสำคัญๆ คือ
1) นิยามความหมาย สื่อมวลชน ผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชน จริยธรรมสื่อมวลชน องค์กรสื่อมวลชน องค์การวิชาชีพสื่อมวลชน มาตรฐานกลาง ใบรับรองสมาชิก
2) กำหนดให้มีการกำกับดูแลสื่อมวลชนเป็น 3 ชั้น คือ ชั้นที่ 1 เป็นการกำกับดูแลตนเองขององค์กรสื่อเอง ชั้นที่ 2 เป็นการกำกับดูแลกันเอง ขององค์การวิชาชีพสื่อมวลชน และชั้นที่ ๓ เป็นการกำกับดูแลร่วม โดยสภาวิชาชีพสื่อมวลชนแห่งชาติ โดยสภาวิชาชีพมีอำนาจหน้าที่ รับจดแจ้งองค์กรสื่อมวลชน หรือองค์การวิชาชีพสื่อมวลชน และเพิกถอนการจดแจ้งสมาชิกสภาพของสมาชิกสภาวิชาชีพ (ซึ่งหมายถึงองค์การวิชาชีพสื่อมวลชน) และรับพิจารณาคำร้องอุทธรณ์ที่ผู้เสียหายหรือผู้ร้องเรียนอ้างว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการพิจารณาวินิจฉัยขององค์การวิชาชีพสื่อมวลชน กำกับดูแลและวินิจฉัยเรื่องร้องเรียนที่ผู้เสียหายหรือผู้ร้องเรียนมีต่อผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนหรือองค์กรสื่อมวลชน หรือองค์การวิชาชีพสื่อมวลชนที่ไม่ได้จดแจ้งตามพระราชบัญญัตินี้ หรือที่ถูกเพิกถอนสมาชิกสภาพ ให้ปฏิบัติตามมาตรฐานกลางหรือข้อบังคับที่สภาวิชาชีพสื่อมวลชนแห่งชาติประกาศกำหนด
3) หลักการกำกับดูแลในภาพรวมโดยสรุปคือ องค์กรสื่อกำกับดูแลผู้ประกอบวิชาชีพในสังกัดของตน องค์การวิชาชีพสื่อมวลชนกำกับดูแลองค์กรสื่อที่เป็นสมาชิก และสภาวิชาชีพสื่อมวลชนกำกับดูแลองค์การวิชาชีพสื่อมวลชน โดยไม่มีการนำระบบการออกใบอนุญาตมาใช้ในระบบการกำกับดูแลนี้ และหลักการสำคัญคือ องค์กรสื่อมวลชนจะสมัครเป็นสมาชิกองค์การวิชาชีพสื่อมวลชนด้วยความสมัครใจ ในกรณีที่องค์กรสื่อมวลชนใดไม่สมัครเข้าเป็นสมาชิกเมื่อผู้ประกอบวิชาชีพ หรือองค์กรสื่อมวลชนกระทำการฝ่าฝืนจริยธรรมจะต้องถูกกำกับโดยตรงจากสภาวิชาชีพสื่อมวลชน
4) การออกแบบการกำกับดูแลเป็นลำดับชั้น เทียบเคียงได้กับการมีศาล 3 ชั้น เพื่อรับเรื่องและพิจารณาวินิจฉัยในชั้นต้นกับองค์กรสื่อ เมื่อไม่พอใจคำวินิจฉัยสามารถอุทธรณ์ต่อองค์การวิชาชีพสื่อมวลชน และถ้าคิดว่ายังไม่เป็นธรรมพอก็สามารถฎีกาต่อสภาวิชาชีพแห่งชาติได้ ทั้งนี้ระบบดังกล่าวจะช่วยทำให้เรื่องข้อร้องเรียนได้รับการเยียวยาอย่างรวดเร็ว และเอื้ออำนวยต่อการเจรจาไกล่เกลี่ยกันระหว่างผู้ฝ่าฝืนและผู้เสียหายได้ด้วย เพราะความผิดทางจริยธรรมมีความจำเป็นที่จะต้องได้รับการแก้ไขผลกระทบที่กระชับฉับไวและสั้นที่สุด อีกทั้งยังป้องกันมิให้กรณีพิพาทขึ้นมาสู่สภาวิชาชีพฯจำนวนมากจนสภาวิชาชีพไม่สามารถดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
5) คณะกรรมการสภาวิชาชีพสื่อมวลชนแห่งชาติ มีจำนวน 11 คน มาจากการเลือกกันเองของสมาชิกจำนวน 6 คน และกรรมการอื่นอีก 5 คน โดยให้กรรมการที่ได้รับการคัดเลือกกันเองแต่งตั้งกรรมการอื่นที่ประกอบด้วยตัวแทนของผู้ทรงคุณวุฒิ นักวิชาการ และภาคประชาชน
6) กำหนดให้มีมาตรฐานจริยธรรมสื่อมวลชน การส่งเสริมจริยธรรม และมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน และคณะกรรมการจริยธรรมสื่อมวลชน การคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชน
7) กำหนดบทกำหนดโทษทางปกครองแก่ผู้ฝ่าฝืนไว้อย่างชัดเจน
8) การมีบทเฉพาะกาล เพื่อให้การจัดตั้งสภาวิชาชีพแห่งชาติเกิดผลสัมฤทธิ์ภายใต้เงื่อนไขและเงื่อนเวลาที่เป็นจริงได้ในทางปฏิบัติ
8. สรุปการจัดทำร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ จัดทำขึ้นจากแนวคิดการออกแบบกลไกเพื่อการกำกับดูแลสื่อมวลชนที่มีความจำเป็นต้องตั้งอยู่บนหลักการพื้นฐานที่จะต้องรักษาความสมดุลระหว่าง เสรีภาพในการนำเสนอข้อมูลข่าวสารของสื่อมวลชนควบคู่ไปกับเสรีภาพในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารของประชาชนประการหนึ่ง และหลักของการใช้เสรีภาพบนความรับผิดชอบที่สื่อมวลชนพึงมีต่อประโยชน์สาธารณะเป็นสำคัญอีกประการหนึ่ง อีกทั้งการกำกับดูแลสื่อมวลชนของไทยได้เกิดขึ้นและมีพัฒนาการอยู่ในสังคมไทยมาแล้วในช่วงระยะเวลาหนึ่ง
การนำเสนอข้อเสนอแนะที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมและการกำกับดูแลจริยธรรมแห่งวิชาชีพสื่อมวลชนนี้จึงมีความจำเป็นที่จะต้องประมวลแนวคิดสถานการณ์แวดล้อมและบริบทต่างๆในด้านการส่งเสริมและการกำกับดูแลสื่อมวลชนที่เกิดขึ้นมาแล้วและทิศทางที่กำลังดำเนินไปทั้งในประเทศไทยและประเทศต่างๆทั่วโลกมาปรับใช้ให้มีความเหมาะสมสอดคล้องกับสภาพที่เป็นอยู่ในปัจจุบันและสามารถนำไปเชื่อมต่อกับอนาคตได้ ตลอดจนต้องคำนึงถึงการนำเสนอที่เป็นรูปธรรมสามารถจับต้องได้เพื่อให้กฎหมายนี้ได้รับการยอมรับและนำไปสู่ผลในทางปฏิบัติได้ในที่สุด
9. ต่อมาเมื่อคณะอนุกรรมาธิการฯ ได้เสนอร่างพระราชบัญญัตินี้ไปยังคณะกรรมาธิการแล้วมีการแก้ไข คณะอนุกรรมาธิการได้จัดทำตารางเปรียบเทียบเหตุผลและข้อเสนอแนะในแต่ละประเด็นไว้ โดยสรุปคือ
1) ไม่เห็นด้วยกับการเพิ่มอำนาจหน้าที่ให้สภาวิชาชีพสื่อมวลชนแห่งชาติเป็นผู้รับขึ้นทะเบียน ออกและเพิกถอนใบอนุญาตผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชน เพราะเป็นการบัญญัติกฎหมายที่ขัดต่อหลักสิทธิเสรีภาพของประชาชนตามหลักกฎหมายรัฐธรรมนูญของประเทศเสรีประชาธิปไตย และยังขัดแย้งต่อบทบาทหน้าที่ของผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชน การกำหนดให้การแสดงบทบาทและการทำหน้าที่ที่ได้รับเสรีภาพขั้นพื้นฐานในการแสดงออกได้ต้องมีการขึ้นทะเบียนย่อมมีผลเป็นการทำลายหลักการของเสรีภาพขั้นพื้นฐานตามเจตนารมณ์ของบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญที่กำหนดไว้แต่ต้นลงโดยสิ้นเชิง
2) ไม่เห็นด้วยกับการเปลี่ยนแปลงจำนวนและองค์ประกอบของคณะกรรมการสภาวิชาชีพสื่อมวลชนแห่งชาติ เนื่องจากมีการแก้ไขให้มีคณะกรรมการที่ประกอบไปด้วย ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ปลัดกระทรวงการคลัง เป็นกรรมการโดยตำแหน่ง นอกจากจะขัดหลักการจัดตั้งสภาวิชาชีพแล้ว ยังอาจส่งผลให้เกิดการแทรกแซงจากบุคคลภายนอก ซึ่งอาจเป็นการแทรกแซงจากการเมืองผ่านข้าราชการประจำ จากการศึกษาพัฒนาการแนวคิดด้านการกำกับดูแลกันเองของสภาวิชาชีพในปัจจุบัน มีแนวโน้มยอมรับการมีส่วนร่วมจากผู้มีส่วนได้เสียซึ่งหมายถึงบุคคลภายนอกให้เข้ามามีส่วนร่วมในการกำกับดูแลได้บ้าง แต่หลักความได้สัดส่วนก็เป็นประเด็นสำคัญที่ต้องไม่ทำลายหลักการด้านการกำกับดูแลโดยผู้ประกอบวิชาชีพด้วยกันเองลง
3) ไม่เห็นด้วยกับการตัดสาระสำคัญที่ “ห้ามมิให้องค์กรสื่อ องค์การวิชาชีพมวลชนและคณะกรรมการสภาวิชาชีพหรือคณะกรรมการจริยธรรมสื่อมวลชน เรื่องร้องเรียนไว้พิจารณา หากในขณะเรื่องร้องเรียน นั้น ผู้ร้องเรียนได้ฟ้องผู้ถูกร้องเรียนในเรื่องเดียวกัน และคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล”เพราะขัดต่อหลักการอำนวยความยุติธรรม กล่าวคือ การกระทำความผิดในเรื่องเดียวกัน สาเหตุเดียวกัน ผู้กระทำความผิดควรได้รับการพิจารณาตัดสินหรือการวินิจฉัยจากผู้ทำหน้าที่ตุลาการเพียงครั้งเดียว นอกจากนี้ การกระทำความผิดกรรมเดียวแต่อาจได้รับผลคำวินิจฉัยหรือพิพากษาที่แตกต่างกันอันจะส่งผลกระทบต่อความเชื่อถือและไว้วางใจในคำวินิจฉัยใดวินิจฉัยหนึ่งที่แตกต่างกัน และอาจเป็นการทำลายหลักความเป็นธรรมทั้งระบบลงได้ในที่สุด
4) ไม่เห็นด้วยกับการกำหนดให้ผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนต้องยื่นขอจดทะเบียนและรับใบอนุญาตภายในกำหนดหนึ่งปี นับแต่วันที่มีสภาวิชาชีพสื่อมวลชนแห่งชาติ เพราะในทางปฏิบัติไม่มีทางที่จะบังคับให้เป็นไปตามกฎหมายนี้ได้เนื่องจากยังไม่เคยมีหลักฐานหรืองานวิจัย หรือสถิติข้อมูลจากแหล่งได้ที่ได้เคยทำการศึกษาไว้ก่อนว่าจำนวนผู้ประกอบวิชาชีพที่จะต้องถูกควบคุมตามกฎหมายนี้จะมีจำนวนเท่าใด อาจมีมากกว่า 1 แสนคนทั่วประเทศ ซึ่งหากบัญญัติกฎหมายไว้ในลักษณะนี้จะส่งผลให้กฎหมายฉบับนี้ขาดกลไกและสภาพบังคับลงตั้งแต่วันที่มีผลบังคับใช้ หรือที่เรียกว่า “กฎหมายเป็นหมัน” แต่ต้น และไม่มีบทบัญญัติใดในกฎหมายที่กำหนดเงื่อนไขว่า ถ้าไม่มีการยื่นจดทะเบียนแล้วผลจะเป็นอย่างไร จะลงโทษด้วยการจับกุมคุมขัง หรือการห้ามเขียน ห้ามออกอากาศ ห้ามเผยแพร่ อันจะส่งผลให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อยขึ้นในประเทศได้ในที่สุด
5) ประเด็นสำคัญอีกประเด็นหนึ่งที่คณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านการสื่อสารมวลชน ยังขาดการพิจารณาทบทวนอย่างรอบคอบ เพราะการนำเอาร่างของ คณะอนุกรรมาธิการฯด้านสื่อสิ่งพิมพ์ มาปรับแก้ไขเพิ่มเติมนั้นไม่ได้คำนึงถึงหลักการและโครงสร้างกฎหมายอันเป็นจุดอันตรายและมีความเสี่ยงอย่างยิ่งต่อความล้มเหลวของกฎหมายฉบับนี้คือ ร่างของคณะอนุกรรมาธิการฯด้านสื่อสิ่งพิมพ์เป็นการออกแบบกฎหมายจากแนวคิด “ความสมัครใจ” ในการเข้ามาสู่การกำกับ ไม่ใช่แนวคิด “การบังคับให้จดทะเบียน”
ดังนั้น การแก้ไขเพียงบางมาตราส่งผลให้เป็นกฎหมายที่มีการขัดกันเพราะอาจไม่มีผู้ประกอบวิชาชีพรายใดให้ความร่วมมือสมัครใจมาขึ้นทะเบียนเพื่อตกอยู่ภายใต้บังคับของกฎหมายฉบับนี้เลย
และประเด็นนี้จะเป็นประเด็นสำคัญที่จะพิสูจน์ว่า การจัดทำกฎหมายอย่างขาดความรู้และความเข้าใจในบริบททั้งด้านสื่อสารมวลชนและด้านนิติศาสตร์จะส่งผลกระทบต่อไปในอนาคตอย่างไร