รางวัลนำจับ : รัฐได้ไม่คุ้มเสีย
การให้หรือรับสินบนไม่ว่าจะให้ใครหรือโดยใครก็ถือว่าไม่ถูกต้องทั้งสิ้น ดังนั้นทำไมเราไม่พัฒนาประเทศและสังคมของเราที่ทำให้ประชาชนมีความสำนึกในความถูกต้องและทำหน้าที่พลเมืองที่ดี ที่คอยปกป้องหรือรักษาผลประโยชน์ของสังคมโดยไม่เห็นแก่อามิสสินจ้างหรือเงินรางวัล
ทุกวันนี้มีการจ่าย “สินบนและเงินรางวัล” ให้เจ้าหน้าที่ของรัฐจากการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายในการจับกุมดำเนินคดีจำนวนมาก เช่นในปี 2559 สตช. จ่ายเงินรางวัลสำหรับคดียาเสพติดไปเป็นเงิน 286 ล้านบาท ขณะที่กรมศุลกากรก็จ่ายไปเฉลี่ยแล้วมากถึงปีละ 893 ล้านบาทในรอบสิบกว่าปีที่ผ่านมา โดยพบว่าประเทศไทยมีกฎหมายที่ให้มีการจ่ายสินบนและเงินรางวัลเพิ่มขึ้นทุกปี จาก 125 ฉบับเมื่อปี 2547 มาเป็น 132 ฉบับในปี 2555 มีทั้ง ตำรวจ ศุลกากร ขนส่งทางบก ป่าไม้ และหน่วยปราบปรามยาเสพติด เป็นต้น โดยให้เหตุผลสำคัญว่า เพื่อเป็นแรงจูงใจให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นและลดปัญหาเจ้าหน้าที่รับสินบนจากผู้กระทำผิด
แต่จากการศึกษากลับพบว่า การจ่ายสินบนและเงินรางวัลเหล่านี้ ไม่ได้เกิดผลดีตามที่กล่าวอ้าง ตรงกันข้ามกลับสร้างผลเสียและกลายเป็นปัจจัยที่ก่อให้เกิดการคอร์รัปชันมากกว่าเดิม กล่าวคือ
ไม่ได้ช่วยให้คอร์รัปชันลดลง เพราะ “ฝ่ายผู้ให้” มักเลือกที่จะจ่ายเงินใต้โต๊ะเพื่อหลีกเลี่ยงความยุ่งยากเสียเวลาหรือการถูกเปิดเผยเรื่องราวของตน รวมทั้งอาจถูกกลั่นแกล้งให้สถานการณ์เลวร้ายลงหรืออาจโดนบทลงโทษอื่นอีกหากตนต้องเข้าสู่ขั้นตอนของกฎหมายและการพิจารณาสั่งปรับ ขณะที่ “ฝ่ายเจ้าหน้าที่” มักมองว่าสินบนและเงินรางวัลฯ เป็นของตายอย่างไรเสียตนก็ต้องได้ แต่หากเลือกรับสินบนนำจับก็จะมีกระบวนการในการเบิกจ่ายที่ยุ่งยากซับซ้อนและเกิดส่วนแบ่งตามอำนาจหน้าที่จนอาจทำให้ได้รับส่วนแบ่งน้อยกว่าหากเรียกรับเงินใต้โต๊ะเสียเอง หรือบางกรณีมีเรื่องของพวกพ้องหรือการช่วยเหลือเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย จึงเกิดแรงจูงใจให้เกิดการต่อรองเพื่อเลือกรับระหว่างผลประโยชน์แบบถูกกฎหมายหรือผิดกฎหมายที่ให้ประโยชน์แก่ตนมากกว่า
มีการใช้อำนาจโดยมิชอบมากขึ้น การที่เจ้าหน้าที่ของรัฐมีอำนาจและผลประโยชน์จากการเลือกบังคับใช้กฎหมาย ทำให้บางครั้งเกิดการใช้อำนาจอย่างเกินเลย เพื่อให้ตนได้ผลประโยชน์ที่มากกว่าเร็วกว่า เช่น พฤติกรรม “ตีเมืองขึ้น” หรือ “ตีไก่” ที่เป็นการข่มขู่เรียกรับสินบนเพื่อแลกกับการไม่ถูกดำเนินคดีไม่ว่าจะมีการกระทำผิดจริงหรือไม่ เข้าทำนองรังแกโดยการปรักปรำหรืออาศัยช่องว่างจากการที่ประเทศเรามีกฎหมายจำนวนมากหรือมีรายละเอียดเงื่อนไขซับซ้อน หรือเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขบ่อย โดยเจ้าหน้าที่อาจเลือกตีความหรือบังคับใช้กฎหมายในทางที่ตนได้เปรียบ
เกิดพฤติกรรมบิดเบือนไปจากที่ควรกระทำตามหน้าที่ คือแทนที่จะทำตามภาระกิจของหน่วยงานและทำเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม กลับพบว่าเจ้าหน้าที่เลือกปฏิบัติงานหรือทำคดีเฉพาะที่มีโอกาสจะได้เงินรางวัลมากๆ และบ่อยครั้งที่ทำเกินกว่าเหตุเพื่อหวังเงินรางวัล หรือมีพฤติกรรมที่เรียกว่า “ขุดหลุมล่อ” แล้วไปดำเนินคดีในภายหลัง หลายกรณีจึงเข้าข่ายการมีผลประโยชน์ทับซ้อนที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ
สร้างความไม่เป็นธรรมในระบบการทํางานของราชการ จากการที่ข้าราชการกลุ่มหนึ่งที่ปฏิบัติหน้าที่ตามภาระปกติแต่กลับได้ผลตอบแทนมากกว่าข้าราชการอื่น หรือบางครั้งเจ้าหน้าที่ในหน่วย งานเดียวกันก็มีปัญหาการแบ่งปันเงินรางวัลอย่างไม่เป็นธรรมหรือผิดกฎหมายด้วย เช่น กรณีสมรู้ร่วมคิดกันให้พรรคพวกหรือญาติพี่น้องแอบอ้างเป็นผู้ชี้เบาะแสเพื่อรับเงินสินบนแม้จะไม่มีการแจ้งเบาะแสจริง
ดังนั้นหากจะคงแนวทางให้สินบนและเงินรางวัลนี้ต่อไป ควรมีการป้องกันความเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาดังกล่าวมาแล้ว เช่น
เปิดโอกาสให้ “ผู้จ่ายใต้โต๊ะ” สามารถกล่าวหาเจ้าหน้าที่ผู้รับสินบน โดยได้รับการกันตัวไว้เป็นพยาน เพื่อทำลายความไว้วางใจระหว่างกันของบรรดาคนให้และคนรับจนทำให้การเจรจาเป็นไปได้ยากยิ่งขึ้น
กำหนดเงื่อนไขให้ชัดเจนเป็นธรรมกับทุกฝ่าย การรับการจ่ายและจำนวนเงินอาจคิดเป็นสัดส่วนกับผลงานในคดีก็ได้แต่ต้องไม่จ่ายมากเกินไป ทางที่ดีควรให้ตามผลงานโดยรวมของหน่วยงานมากกว่าและต้องทำให้โปร่งใสโดยเปิดเผยข้อมูลทั้งหมดต่อสาธารณะ
ทำให้กติกาการจ่ายสินบนและเงินรางวัลเป็นที่รับรู้ทั่วไปมิใช่จำกัดอยู่แต่ในหมู่เจ้าหน้าที่ เพื่อสร้างแรงจูงใจให้ประชาชนร่วมเป็นหูเป็นตาให้รัฐในการให้เบาะแสข้อมูล การให้เงินสินบนแก่ประชาชนที่มากพอจะช่วยชดเชยการเสี่ยงภัยและค่าใช้จ่ายที่เขาลงไป เช่น การเดินทาง การสืบค้นข้อมูลและเวลาทำมาหากินที่เสียไป
คอร์รัปชันมักเกิดจากการสมยอมระหว่างผู้ให้และผู้รับ การลงโทษที่เบาเกินไปคนจะไม่เกรงกลัวแต่หากมีการลงโทษที่รุนแรงคนก็จะหาวิธีติดสินบนเพื่อให้พ้นผิด ดังนั้นการป้องกันด้วยมาตรการหนึ่งๆ ย่อมเสี่ยงที่จะถูกบิดเบือนหรือล้มเหลวได้ จำเป็นต้องใช้หลายๆ มาตรการร่วมกัน โดยเฉพาะการสร้างความโปร่งใส ทำให้มีการตรวจสอบโดยสาธารณชน แต่ “โดยสรุปแล้วการให้หรือรับสินบนไม่ว่าจะให้ใครหรือโดยใครก็ถือว่าไม่ถูกต้องทั้งสิ้น ดังนั้นทำไมเราไม่พัฒนาประเทศและสังคมของเราที่ทำให้ประชาชนมีความสำนึกในความถูกต้องและทำหน้าที่พลเมืองที่ดี ที่คอยปกป้องหรือรักษาผลประโยชน์ของสังคมโดยไม่เห็นแก่อามิสสินจ้างหรือเงินรางวัล” (เมธี ครองแก้ว, 2552)
ดร. มานะ นิมิตรมงคล
เลขาธิการ องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย)
เอกสารประกอบ :
2559 สตช. ใช้งบสำหรับเงินสินบนและรางวัลคดียาเสพติด 286 ล้านบาท