15 คำทำนายทางเทคโนโลยีที่โลกไม่เคยลืม
สื่อหลายต่อหลายสื่อต่างพูดกันเป็นเสียงเดียวกันว่าคำทำนายเหล่านี้คือ “การทำนายทางเทคโนโลยีที่โง่เง่า” หรือ “การทำนายทางเทคโนโลยีที่แย่ที่สุดเท่าที่เคยเกิดขึ้น” เป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้ว่าเรื่องเทคโนโลยีนั้นเป็นเรื่องที่ซับซ้อนเกินกว่าที่จะทำนายได้ด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำ
สตีฟ จอบส์ ผู้ร่วมก่อตั้งและอดีต CEO บริษัท APPLE
(ภาพจาก The Telegraph UK)
เมื่อใกล้ถึงสิ้นปีของทุกปีมักจะมีผู้เชี่ยวชาญแขนงต่างๆทำนายเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในปีใหม่อยู่เสมอทั้งเรื่อง การเมือง เศรษฐกิจ สังคม ดวงเมือง รวมถึงเทคโนโลยีด้วย สิ่งที่ได้ทำนายกันมานั้นมีทั้งถูกต้องบ้างหรือตรงกันข้ามกับความจริงก็มีมากโดยเฉพาะเรื่องการทำนายเรื่องเทคโนโลยีที่ฟันธงกันราวกับว่าโลกนี้จะเปลี่ยนกันชั่วข้ามคืนนั้นหลายต่อหลายครั้งไม่เป็นความจริง
บ่อยครั้งที่มีการประชุมทางเทคโนโลยีไม่ว่าในเวทีไหนในโลก ผู้นำเสนอบทความทั้งในองค์กรภาครัฐและภาคเอกชนหรือแม้แต่ผู้ผลิตเทคโนโลยีเองจึงมักจะนำบทเรียนเกี่ยวกับการทำนายเทคโนโลยีที่ผิดพลาดมาเตือนสติผู้เข้าร่วมประชุมอยู่เสมอ เพื่อไม่ให้คล้อยตามหรือคาดหวังกับเทคโนโลยีมากเกินไป
คำทำนายเหล่านี้ได้สร้างความตกตะลึงแก่คนในโลกเทคโนโลยีและกลายเป็นที่จดจำอย่างไม่มีวันลืมเพราะผู้ทำนายเหตุการณ์ไม่ใช่คนธรรมดาอย่างเราๆท่านๆ แต่แทบทุกคนเป็นผู้มีชื่อเสียงของโลกที่พูดออกไปแล้วคนต้องฟัง มีทั้ง นักเทคโนโลยี นักประดิษฐ์ นักธุรกิจ นักวิชาการ ที่สังคมทั่วโลกยอมรับ จนทำให้โลกต้องบันทึกถึงสิ่งที่ท่านเหล่านั้นพูดเอาไว้และเล่าต่อกันเรื่อยมาปีแล้วปีเล่าจนถึงทุกวันนี้และเมื่อถึงโอกาสสำคัญๆก็จะมีผู้หยิบยกเรื่องราวเหล่านี้ขึ้นมาบอกต่อซ้ำอีกเพื่อกันลืมเสมอ
สื่อหลายต่อหลายสื่อต่างพูดกันเป็นเสียงเดียวกันว่าคำทำนายเหล่านี้คือ “การทำนายทางเทคโนโลยีที่โง่เง่า” หรือ “การทำนายทางเทคโนโลยีที่แย่ที่สุดเท่าที่เคยเกิดขึ้น” เป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้ว่าเรื่องเทคโนโลยีนั้นเป็นเรื่องที่ซับซ้อนเกินกว่าที่จะทำนายได้ด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำ
คำทำนายที่ 1 “คนอเมริกันต้องการโทรศัพท์ แต่คนอังกฤษไม่ต้องการ เพราะเรามีบุรุษไปรษณีย์เหลือเฟือ” คำทำนายของ เซอร์ วิลเลียม พรีส (Sir William Preece) หัวหน้าวิศวกร กรมไปรษณีย์อังกฤษ ทำนายไว้เมื่อปี 1876 หรือเมื่อ 140 ปีที่แล้ว @ แม้ว่าคำทำนายของ เซอร์ วิลเลียม พรีส จะไม่เป็นความจริงในเรื่องโทรศัพท์ แต่บุรุษไปรษณีย์ก็ยังไม่หายสาบสูญไปเหมือนกับเทคโนโลยีบางประเภท แม้จำนวนจะลดลงไปก็ตาม แต่ไม่แน่ว่าวันหนึ่งบุรุษไปรษณีย์อาจถูกแทนที่ด้วยโดรนก็เป็นไปได้
คำทำนายที่ 2 “โทรศัพท์มีข้อเสียมากมายเกินกว่าจะถูกนำมาใช้เพื่อการสื่อสาร” คำทำนายของ วิลเลียม ออตัน ( William Orton) อดีตประธานบริษัท Western Union เมื่อปี 1876 @ Western Union เป็นบริษัทให้บริการโทรเลขซึ่งเป็นการสื่อสารที่สำคัญของคนอเมริกันในขณะนั้น การทำนายของ ออตันจึงมีความเป็นไปได้ว่าอาจเป็นคำพูดสบประมาทคู่แข่งอย่างโทรศัพท์ที่กำลังเริ่มเข้ามามีบทบาทหรืออาจเป็นการทำนายจากการวิเคราะห์สถานการณ์จริงก็ได้เพราะโทรเลขเป็นสิ่งเดียวของระบบสื่อสารทางไกลในการใช้ส่งข้อความที่เร็วกว่าม้าด่วน
ในปี 1876 เป็นปีที่ อเล็กซานเดอร์ เกรแฮม เบล ได้ลิขสิทธิ์จากการประดิษฐ์โทรศัพท์และถือว่าเป็นผู้ประดิษฐ์โทรศัพท์อย่างเป็นทางการคนแรก ทำให้การสื่อสารด้วยโทรเลขมีความสำคัญน้อยลงทุกที
ในที่สุด Western Union ก็จบบทบาทของการให้บริการโทรเลขลง โดยได้ส่งโทรเลขฉบับสุดท้ายในปี 2006 หลังจากต่อสู้กับเทคโนโลยีอื่นๆ เช่น e-mail การส่งข้อความสั้นและโทรศัพท์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโทรศัพท์นั้นเป็นคู่แข่งสำคัญของโทรเลขมานานถึง 130 ปี
คำทำนายที่ 3 “ เสียเวลาเปล่าๆที่จะยังไปสนใจไฟกระแสสลับ เพราะจะไม่มีใครใช้มันอีก “ คำทำนายของ โทมัส อัลวา เอดิสัน (Thomas Alva Edison) นักประดิษฐ์ และนักธุรกิจ เมื่อปี 1889 @ เอดิสัน เป็นนักประดิษฐ์ที่คนทั่วโลกรู้จักมากที่สุดคนหนึ่ง สิ่งประดิษฐ์มากมายจากความพยายามของเขาทำให้เราได้รับความสุขสบายมาจนถึงทุกวันนี้ เอดิสันเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ 1093 ชิ้น เป็นสิ่งประดิษฐ์ที่เกี่ยวกับไฟฟ้าและการสื่อสารเสียเป็นส่วนใหญ่
เอดิสัน มุ่งมั่นอยู่กับสิ่งประดิษฐ์ที่ใช้ไฟฟ้ากระแสตรง(Direct Current) และสร้างโรงไฟฟ้ากระแสตรงเพื่อจ่ายไปตามบ้านเรือน ชาวอเมริกัน ในขณะที่ไฟฟ้ากระแสสลับ(Alternating Current) ซึ่งเป็นคู่แข่งจาก บริษัท Westinghouse กำลังมาแรงและดูเหมือนว่าจะดีกว่ากระแสตรงเพราะส่งไปได้ไกลกว่าและเมื่อไฟตกก็สามารถใช้หม้อแปลงเพิ่มแรงดันไฟฟ้าได้
ด้วยเหตุนี้สงครามการชิงความเป็นใหญ่ของการใช้กระแสไฟฟ้าจึงเกิดขึ้น ซึ่งคำทำนายของเอดิสันอาจมีความลำเอียงก็เป็นไปได้เพราะเอดิสันคือเจ้าพ่อแห่งไฟฟ้ากระแสตรงในขณะที่คู่แข่งใช้ไฟฟ้ากระแสสลับ ปัจจุบันได้พิสูจน์แล้วว่ากระแสสลับมีการใช้งานอย่างแพร่หลายเกินกว่าที่เอดิสันจะคาดคิด
คำทำนายที่ 4 “ผมคิดว่าตลาดโลกอาจจะมีคอมพิวเตอร์เพียง 5 เครื่อง เท่านั้น”คำทำนายของ โทมัส วัตสัน (Thomas Watson) อดีตประธานบริษัท IBM เมื่อปี 1943 @ เป็นคำทำนายที่โลกต้องตะลึง เพราะ IBM เป็นบริษัทคอมพิวเตอร์ชั้นนำของโลกตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน เฉพาะปี 2015 บริษัท IBM ทำรายได้จากการขายคอมพิวเตอร์ทั้ง Hardware Software และธุรกิจอื่นๆราว 81,700 ล้านเหรียญ
คำทำนายของ วัตสัน อาจอยู่บนความจริงที่คอมพิวเตอร์ในขณะนั้นเป็นเครื่องคำนวณที่มีขนาดใหญ่มหึมาเท่าห้องนอนและเต็มไปด้วยหลอดสุญญากาศนับพันหลอดซึ่งคงไม่มีใครต้องการหรืออาจเป็นคำพูดที่มีการจับความมาผิดๆ เป็นคำพูดไม่ต่อเนื่องหรือเป็นการตัดตอนคำพูด ทำให้เข้าใจผิดก็เป็นไปได้ แต่โลกก็จดจำคำพูดเหล่านี้จนกลายเป็นเรื่องเล่าสนุกปากไปแล้ว
คำทำนายที่ 5 “ โทรทัศน์จะไม่สามารถดึงดูดคนดูเอาไว้ได้ หลังจากหกเดือนแรก เพราะว่า คนดูจะเกิดความเบื่อหน่ายจากการจ้องดูกล่องไม้ อัดทุกคืน” คำทำนายของ ดาริล ซานัค (Daryl Zanuck) ผู้บริหาร 20th Century Fox เมื่อปี 1946 @ บริษัท 20th Century Fox คือบริษัทผู้ผลิตภาพยนตร์ที่ฉายในโรงซึ่งเป็นความบันเทิงประเภทจอที่มีคุณภาพที่ชาวอเมริกันนิยมในขณะนั้น การที่โทรทัศน์เข้ามาสู่ตลาดบันเทิงและข่าวสารจึงเท่ากับว่าเป็นคู่แข่งโดยตรงของหนังโรง ซานัค อาจพูดสบประมาทอนาคตของโทรทัศน์ในฐานะคู่แข่งหรืออาจทำนายจากการวิเคราะห์จากสถานการณ์จริงในขณะนั้นก็ได้ อย่างไรก็ตามคำทำนายของเขาผิดอย่างจัง
คำทำนายที่ 6 “ ก่อนที่มนุษย์จะเหยียบดวงจันทร์ จดหมายของท่านจะส่งจาก นิวยอร์ค ไปยังออสเตรเลีย ภายในไม่กี่ชั่วโมงด้วยจรวดนำวิถี” คำทำนายของ นายพล อาเธอร์ ซัมเมอร์ฟิลด์ (General Arthur Summerfield) ผู้อำนวยการใหญ่แห่งกรมไปรษณีย์ สหรัฐอเมริกา เมื่อปี 1959
@ ในปี 1959 กองทัพเรือสหรัฐได้ช่วยเหลือกรมไปรษณีย์ของสหรัฐเพื่อให้ส่งจดหมายให้เร็วขึ้นโดยทดลองใช้จรวดบรรจุจดหมาย(Rocket mail) ยิงไปปลายทางซึ่งประสบความสำเร็จเมื่อจรวดถึงเป้าหมาย จนทำให้นายพลอาเธอร์ ซัมเมอร์ฟิลด์ผู้อำนวยการใหญ่แห่งกรมไปรษณีย์ขณะนั้น ถึงกับมั่นใจว่าการส่งจดหมายด้วยจรวดคืออนาคตของการไปรษณีย์สหรัฐและที่อื่นๆทั่วโลก อย่างไรก็ตามฝันของ ซัมเมอร์ฟิลด์ ไม่เคยเป็นจริงมาจนถึงทุกวันนี้เพราะค่าใช้จ่ายและขั้นตอนต่างๆในการส่งจดหมายด้วยจรวดนั้นไม่คุ้มค่า
คำทำนายที่ 7 “ไม่มีทางที่ดาวเทียมสื่อสารจะทำให้บริการ โทรศัพท์ โทรเลข โทรทัศน์ หรือวิทยุ มีคุณภาพดีขึ้นกว่าเดิมได้ ในประเทศ สหรัฐอเมริกา”คำทำนายของ ที เอ เอ็ม คราเวล(T.A.M. Cravel) หนึ่งในกรรมาธิการของ คณะกรรมการกลางกำกับดูแลกิจการสื่อสาร(FCC) สหรัฐอเมริกา เมื่อปี 1961
@ คราเวล พูดประโยคนี้ในปี 1961 หรือ 3 ปีหลังจากดาวเทียม Explorer 1 ซึ่งเป็นดาวเทียมดวงแรกของสหรัฐอเมริกาถูกปล่อยสู่อวกาศ จึงมีความเป็นไปได้ว่าคุณภาพการสื่อสารของดาวเทียมในระยะแรกคงไม่สู้ดีนักและมีความเป็นไปได้เช่นกันว่าการอยู่ในคณะกรรมาธิการของ FCC น่าจะทำให้คาเวลมีบทบาทและรับรู้เรื่องราวและนโยบายเกี่ยวกับดาวเทียมในขณะนั้นได้เป็นอย่างดี เขาจึงทำนายอนาคตของของดาวเทียมอย่างมั่นใจ
ปัจจุบันดาวเทียมมีความสามารถให้บริการสื่อสารได้เกือบทุกประเภทตั้งแต่เสียง ภาพ ข้อมูล ฯลฯ ซึ่งมากมายกว่าบริการที่คราเวลสบประมาทเอาไว้
คำทำนายที่ 8 “ ไม่มีเหตุผลใดที่ใครๆจะมีคอมพิวเตอร์เอาไว้ในบ้าน”คำทำนายของ เคน ออลเซน (Ken Olsen) ผู้ก่อตั้งบริษัท Digital Equipment Corporation(DEC) สหรัฐอเมริกา ในปี 1977 @ บริษัท DEC เป็นบริษัทผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ชั้นนำของอเมริกา คำทำนายของ ออลเซน จึงทำให้คนในโลกนี้งุนงงและเกิดความกังขาต่อวิสัยทัศน์ของเขาต่อคำทำนายนี้ เพราะ DEC คือบริษัทผลิตคอมพิวเตอร์ที่มีชื่อเสียงในยุคปี 1970 แต่ในที่สุดบริษัท DEC ก็ต้องปิดฉากลงเมื่อถูกซื้อไปโดยบริษัท Compaq และได้ควบรวมกิจการกับ HP ในที่สุด
คำทำนายที่ 9 “ โทรศัพท์มือถือ จะไม่มีทางแทนที่โทรศัพท์บ้านได้เลย”คำทำนายของ มาร์ติน คูเปอร์ (Martin Cooper) นักประดิษฐ์ วิศวกร และผู้บุกเบิกการสื่อสารไร้สาย ชาวอเมริกัน เมื่อปี 1981 @ เป็นคำทำนายที่ออกจะสวนทางกับอาชีพของคูเปอร์ เพราะคูเปอร์เองเป็นนักประดิษฐ์เครื่องมือสื่อสารโดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของสื่อสารไร้สายนั้นคูเปอร์มีผลงานมากมาย เขาเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ของเครื่องมือ 11 อย่างด้วยกัน เขาเป็นที่รู้จักในฐานะผู้คิดค้นวิธีการบริหารความถี่วิทยุยุคใหม่
ระหว่างที่ทำงานอยู่ที่บริษัท Motorola คูเปอร์ได้สร้างโทรศัพท์มือถือเครื่องแรกขึ้นในปี 1973 และนำทีมพัฒนาโทรศัพท์มือถือจนสามารถออกจำหน่ายในปี 1983 คูเปอร์ จึงได้ชื่อว่าเป็นบิดาแห่งโทรศัพท์มือถือ แต่คำทำนายของเขาช่างต่างจากสิ่งประดิษฐ์ที่เขาสร้างขึ้นอย่างตรงกันข้าม
คำทำนายที่ 10 “ผมขอทำนายว่าในไม่ช้าอินเทอร์เน็ตจะเป็นดวงดาวที่แตกสลายและจะถึงจุดจบในปี 1996 ”คำทำนายของ โรเบิร์ต เม็ทคาลเฟ (Robert Metcalfe) ผู้ก่อตั้งบริษัท 3Com สหรัฐอเมริกา เมื่อปี 1995 @ นอกจากเป็นผู้ก่อตั้งบริษัท 3Com ซึ่งเป็นบริษัทผู้สร้างโครงข่ายคอมพิวเตอร์แล้ว เม็ทคาลเฟ ยังเป็นผู้สร้าง อีเทอร์เน็ต (Ethernet) เขาเป็นนักเทคโนโลยีและนักเขียนคอลัมน์ในวารสารคอมพิวเตอร์ เขาเป็นผู้ให้กำเนิด กฎของ เม็ทคาลเฟ (Metcalfe’s Law) ที่รู้จักกันดีในวงการโทรคมนาคม เม็ทคาลเฟ มั่นใจในคำทำนายของตัวเองจนถึงกับพูดว่าว่าหากคำทำนายของเขาผิด เขาพร้อมจะกลืนคำพูดของตัวเอง
เพื่อไถ่โทษจากการทำนายที่ผิดพลาด อีกสี่ปีต่อมา เม็ทคาลเฟ ได้ทำตามคำสัญญาโดยการฉีกคำทำนายของเขาที่ถูกตีพิมพ์ในวารสาร InfoWorld ใส่เครื่องปั่นผสมกับของเหลวบางอย่างปั่นรวมกันเทใส่ถ้วยแล้วตักกินต่อหน้าธารกำนัลในที่ประชุม International World Wide Web Conference เมื่อปี 1999
คำทำนายที่ 11 “ บริษัท APPLE คือบริษัทที่ตายแล้ว” คำทำนายของ เนธาน เมร์โวลด์ (Nathan Myhrvold) หัวหน้าเจ้าหน้าที่ด้านเทคโนโลยี(CTO) บริษัท Microsoft สหรัฐอเมริกา เมื่อปี 1997 @ ในปี 1985-1997 เป็นเวลาหลายปีที่บริษัท APPLE ขาดนักคิดและนักบริหารอย่าง สตีฟ จ็อบ จึงถือว่าเป็นยุคมืดของบริษัท APPLE ก็ว่าได้ ช่วงนั้นจึงมีคำทำนายมากมายเกี่ยวกับบริษัท APPLE ที่เป็นไปในทางลบ
ไม่เฉพาะคำทำนายของ เนธาน เมร์โวลด์ เท่านั้น ในช่วงปี 1996-1997 สื่อดังๆอย่าง Fortune TIME Financial Time รวมถึง ไมเคิล เดล (Michael Dell) ผู้ก่อตั้งบริษัท Dell ล้วนแต่ทำนายว่า APPLE หมดอนาคตแล้วทั้งสิ้น แต่คำทำนายทั้งหลายล้วนผิดพลาดเมื่อ สตีฟ จ็อบ หวนคืนกลับมา ในปลายปี 1997 ต่อลมหายใจและชุบชีวิตให้ APPLE ผงาดขึ้นมาในวงการคอมพิวเตอร์อีกครั้ง
คำทำนายที่ 12 “ ในราวปี 2005 ผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการใช้อินเทอร์เน็ต จะไม่มากกว่าผลกระทบที่เกิดจากการใช้เครื่องแฟกซ์” คำทำนายของ ศาสตราจารย์ พอล ครูกแมน (Paul Krugman) ผู้ได้รับรางวัลโนเบล สาขาเศรษฐศาสตร์ ชาวอเมริกัน ทำนายไว้เมื่อปี 1998 @ พอล ครูกแมน เป็น นักเศรษฐศาสตร์ที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งของโลก เขาเป็นศาสตราจารย์สาขาเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยนิวยอร์ค เป็นนักเขียนของ The New York Times และเป็นผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ในปี 2008 คำทำนายของครูกแมนเกิดขึ้น 3 ปี หลังจากที่ โรเบิร์ต เม็ทคาลเฟ ทำนายว่า “อินเทอร์เน็ต จะล่มสลายในปี 1996 ”
คำพูดของ พอล ครูกแมน เป็นมุมมองของนักเศรษฐศาสตร์ที่มีต่อเทคโนโลยี เป็นการยืนยันอีกหนึ่งเสียงถึงความซับซ้อนของเทคโนโลยีที่ยากต่อการเข้าใจและทำให้ใครต่อใครตกม้าตายกับคำทำนายของตัวเองมาแล้วนับไม่ถ้วน คำทำนายของครูกแมนในครั้งนี้ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้ให้สัญญาใดๆเอาไว้แก่สังคมหากคำทำนายของเขาผิด
คำทำนายที่ 13 “ผมคิดว่า ธุรกิจการเช่าดนตรีนั้นจะล้มเหลว”
คำทำนายของ สตีฟ จอบส์ (Steve Jobs) ผู้ก่อตั้งและอดีต CEO บริษัท APPLE สหรัฐอเมริกา เมื่อปี 2003
@ แม้ว่า สตีฟ จอบส์ จะไม่ได้ทำนายผิดพลาดเรื่องเทคโนโลยีโดยตรง แต่สิ่งที่คนระดับ สตีฟ จอบส์ ทำนายผิดพลาดเกี่ยวกับโมเดลทางธุรกิจของการเช่าดนตรีออนไลน์นั้นทำให้โลกต้องบันทึกถึงคำทำนายที่ห่างไกลจากความจริงแบบตรงกันข้ามของเขาเอาไว้
จากระยะสิบปีเศษที่เขาทำนายจนถึงวันนี้ ธุรกิจการเช่าเพลงกลายเป็นธุรกิจที่รุ่งเรืองมาก เฉพาะ Spotify บริษัทเดียวสร้างรายได้มากกว่า 1,200 ล้านเหรียญในปี 2014 จากสมาชิก 15 ล้านคน
ในที่สุดบริษัท APPLE ก็ต้องจำใจกลืนคำพูดของ สตีฟ จอบส์ โดยนำ APPLE Music สู่ตลาดหลังจาก สตีฟ จอบส์ ได้ลาจากโลกนี้ไปแล้วห้าปี
คำทำนายที่ 14 “ ภายในอีกสองปีจากนี้ไป Spam จะหมดไป” คำทำนายของ บิล เกท (Bill Gates) ที่เวที World Economic Forum เมื่อปี 2004 @ บิล เกท คือผู้ที่ทรงอิทธิพลด้านคอมพิวเตอร์ของโลกชาวอเมริกัน ดังนั้นสิ่งที่ บิล เกท พูดหรือทำนายมักจะถูกจับตามองจากสื่อและนักเทคโนโลยีเสมอ แต่สิ่งที่บิล เกท พูดไว้เมื่อ 12 ปีก่อนยังไม่เป็นความจริง เพราะปัจจุบันมากกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ของ e-mail ยังเจอกับ Spam อยู่เสมอ
ไม่เฉพาะการทำนายครั้งนี้ที่ทำให้ บิล เกท ต้องเสียหน้า แต่ยังมีการทำนายที่น่าขบขันทางเทคโนโลยีอีกหลายเรื่องที่บิล เกท พูดไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำทำนายว่า “ หน่วยความจำเพียง 640 K ก็น่าจะเพียงพอแล้วสำหรับใครๆก็ตาม” เมื่อปี 1981 ที่เชื่อกันว่า บิลเกท เป็นคนพูดนั้น แม้ว่ายังไม่มีหลักฐานว่าบิล เกทได้พูดจริงหรือไม่ เพราะบิล เกท ปฏิเสธอย่างแข็งขันตลอดมาว่าไม่ได้เป็นคนพูด อย่างไรก็ตามถ้าใครเอ่ยถึงคำทำนายนี้ขึ้นมาที่ไรทุกคนในโลกก็จะนึกถึง บิล เกท ทุกที
คำทำนายที่ 15 “ iPhone จะไม่มีโอกาสที่จะได้ส่วนแบ่งการตลาดที่สำคัญจากตลาดมือถือเลย” คำทำนายของ สตีฟ บัลเมอร์ (Steve Ballmer) อดีต CEO ของ Microsoft สหรัฐอเมริกา เมื่อปี 2007 @ สตีฟ บัลเมอร์ อยู่กับ Microsoft มาตั้งแต่ปี 1980 เป็นพนักงานคนที่ 30 ของบริษัท ที่ บิล เกท เป็นผู้รับเข้าทำงาน เขาเป็น CEO ของ Microsoft ตั้งแต่ปี 2000 จนถึง 2014 แม้ว่าช่วงที่เขาเป็น CEO รายได้ของ Microsoft จะพุ่งทะยานขึ้นอย่างมากในช่วงแรกก็ตาม แต่ในตอนหลังเขาเองทำให้ธุรกิจหลายๆอย่างหลุดมือจาก Microsoft ไปอย่างไม่น่าเชื่อ ทำให้ธุรกิจของ Microsoft ต้องตกต่ำลงทั้งๆที่เทคโนโลยีหลายอย่าง เช่น Smartphone Smartcar นาฬิกาอัจฉริยะ ฯลฯ เป็นสิ่งที่ Microsoft คิดมาแล้ว เช่นเดียวกับ APPLE และ Google
การทำนายของ สตีฟ บัลเมอร์ ไม่เหนือความคาดหมายเพราะเขาเห็นว่า Smartphone อย่าง iPhone เป็นโทรศัพท์ที่แพงที่สุดในโลกและไม่มี Keyboard ซึ่งไม่เหมาะกับการส่ง e-mail ทั้งๆที่ APPLE เพิ่งนำ iPhone ออกสู่ตลาดและกลายเป็นเทคโนโลยีที่คนทั้งโลกต้องพกติดตัวอยู่ตลอดเวลา
ในที่สุด สตีฟ บัลเมอร์ ต้องไขก๊อกจาก CEO ของ Microsoft ในปี 2014 หลังจากถูกนักลงทุนขอให้ลงจากเก้าอี้และนิตยสาร Forbesได้วิจารณ์เมื่อปี 2012 ว่า สตีฟ บัลเมอร์ คือ CEO ที่แย่ที่สุดของบริษัทมหาชนขนาดใหญ่ของอเมริกา
บทเรียนจากประเทศไทย
ประเทศไทยได้รับบทเรียนจากเทคโนโลยีมากมายหลายเหตุการณ์ นับจากวันที่เราได้รับเทคโนโลยีมาใช้งาน แต่เรามักไม่ค่อยใส่ใจนำบทเรียนนั้นมาใช้ประโยชน์เท่าที่ควรจนทำให้ประเทศชาติสูญเสียงบประมาณไปแต่ละครั้งมิใช่น้อย
เมื่อยี่สิบกว่าปีที่แล้วเราเริ่มก้าวเข้าสู่สังคมดิจิทัลด้วยเทคโนโลยี ISDN(Integrated Services Digital Network) หรือแปลเป็นไทยว่า “บริการสื่อสารร่วมระบบดิจิทัล” เราเคยจัดทำแผน ISDN แห่งชาติ เพื่อเตรียมรองรับการเป็น “ประเทศอุตสาหกรรมใหม่” (NICS: Newly Industrialized Countries) คล้ายๆกับที่เรากำลังทำแผนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมในเวลานี้นั่นเอง
ประเทศไทยลงทุนนับหมื่นล้านเพื่อสร้างโครงข่าย ISDN แต่เทคโนโลยี ISDNไม่เคยถึงมือคนไทยส่วนใหญ่ เนื่องจาก อุปกรณ์แต่ละชิ้นมีราคาแสนแพงและคนไทยไม่รู้ว่าจะใช้ ISDN เพื่อประโยชน์อะไร ยกเว้นบริษัทขนาดใหญ่ที่พอจะเห็นประโยชน์ของ ISDN อยู่บ้างเมื่อนำไปใช้กับตู้สาขาโทรศัพท์ของบริษัทเอง
บิล เกท เคยเขียนไว้ในหนังสือชื่อ The Road Ahead ในปี 1995 ว่า “เขาแปลกใจที่บริษัทโทรศัพท์ต่างลงทุนกันมากมายกับ ISDN โดยแทบไม่รู้เลยว่าจะเอาไปใช้งานอะไร” ISDN จึงกลายเป็นเทคโนโลยีที่ล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่า ยกเว้น ญี่ปุ่นและเยอรมันที่พอจะพูดได้ว่าใช้ประโยชน์จาก ISDN ได้มากกว่าใครในโลก
การทำนายที่ผิดพลาดจากเทคโนโลยี ISDN มิใช่เป็นความผิดพลาดของประเทศไทยแต่ผู้เดียว แต่เป็นการทำนายที่ผิดพลาดของนักเทคโนโลยีด้านโทรคมนาคมทั้งโลกที่นั่งประชุมกันตลอดเวลานับสิบๆปีที่สหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ(ITU) ณ กรุงเจนีวา สวิสเซอร์แลนด์ เพื่อสร้างมาตรฐาน ISDN บนเทคโนโลยีโทรศัพท์แบบเดิมโดยคาดหวังว่า ISDN คือ เทคโนโลยีดิจิทัลในอนาคต
ประเทศสมาชิก ITU ทั้งโลกรวมทั้งประเทศไทยจึงฝากความหวังไว้กับ ISDN ตามที่ ITU เสนอแนะ ในขณะที่อีกฟากฝั่งหนึ่งนักเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ก็กำลังพัฒนาอินเทอร์เน็ตอย่างไม่ลดละและรวดเร็วกว่าฝั่งโทรคมนาคมเสียอีก
ISDN อยู่ในกระแสอยู่ในโลกดิจิทัลในช่วงเวลาสั้นๆก่อนจะสูญหายไปในเวลารวดเร็ว ในขณะที่หลายประเทศยังไม่รู้จักด้วยซ้ำไป จึงทำให้เครื่องโทรศัพท์ ISDNราคานับหมื่น คอมพิวเตอร์ ISDN ราคาหลายหมื่น และเครื่องแฟกซ์ ISDNที่เรียกว่าแฟกซ์ G4 ราคาเครื่องละสามแสนกว่าบาท กลายเป็นกองขยะกองใหญ่ที่ไม่มีใครอยากได้อีกต่อไป
บทเรียนทุกบทจากความผิดพลาดของการทำนายและการใช้เทคโนโลยีมีคุณค่าและแง่มุมให้ได้เรียนรู้อยู่เสมอไม่ว่าวันเวลาจะผ่านไปนานเท่าใดก็ตาม โดยเฉพาะเทคโนโลยีในปัจจุบันที่มีวัฏจักรสั้นกว่าอดีตและอาจผูกติดกับโครงสร้างพื้นฐานที่ลงทุนสูงนั้น ยิ่งต้องระมัดระวังต่อการนำมาใช้งานให้มากและต้องไม่ลืมถึงบทเรียนในอดีต ผลกระทบต่อสังคมและภัยของเทคโนโลยีที่จะเกิดขึ้นจากการคาดหวังแต่ประโยชน์ของเทคโนโลยีมากเกินไปโดยไม่คำนึงถึงภัยที่จะมากับเทคโนโลยีเหล่านั้น