อะไรจะเกิดขึ้นถ้ากทพ.แพ้คดีพิพาทค่าทางด่วน
ต้องติดตามกันอย่างไม่กะพริบตาว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากศาลปกครองตัดสินให้กทพ.แพ้คดีนี้ กทพ.เลือกที่จะชำระเงินชดเชยหรือจะต่อสัญญาให้บีอีเอ็ม
ทางด่วนเป็นทางเลือกหนึ่งของการเดินทาง และเป็นหนทางหนึ่งในการบรรเทาการจราจรติดขัด แม้ว่าทางด่วนทำหน้าที่ “ขนรถ” มากกว่า “ขนคน” แต่ถ้าในเวลานี้กรุงเทพฯ ไม่มีทางด่วน รถจะติดวินาศสันตะโร!
การก่อสร้างทางด่วนต้องใช้เงินลงทุนสูง จึงเป็นเหตุให้รัฐบาลต้องหาเอกชนมาร่วมก่อสร้างและบริหารทางด่วนบางส่วน โดยมีสัญญาสัมปทานเป็นข้อผูกพัน สัญญานี้ได้กำหนดอัตราค่าผ่านทางและหลักเกณฑ์การปรับค่าผ่านทางเป็นเงื่อนไขสำคัญประการหนึ่งไว้ แต่การปรับค่าผ่านทางไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะส่งผลกระทบต่อผู้ใช้ทางด่วนจำนวนมาก ด้วยเหตุนี้ ทุกครั้งที่มีการขอปรับค่าผ่านทางจะมีข้อพิพาทเกิดขึ้นระหว่างการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) ซึ่งเป็นหน่วยงานกำกับดูแลทางด่วนกับผู้รับสัมปทานทางด่วนขั้นที่ 2 คือบริษัท ทางด่วนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเวลานี้เปลี่ยนชื่อเป็นบริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือบีอีเอ็ม
สัญญาสัมปทานมีการกำหนดให้ปรับอัตราค่าผ่านทางทุกๆ 5 ปี ตามดัชนีผู้บริโภค ทางด่วนขั้นที่2 เริ่มเปิดให้บริการในเดือนกันยายน 2536 บีอีเอ็มจึงเสนอขอปรับค่าผ่านทางในปี 2541, 2546, 2551 และ 2556
ปรากฏว่าทุกครั้งที่มีการขอปรับค่าผ่านทางจะมีปัญหาการคำนวณอัตราค่าผ่านทางที่จะต้องเพิ่มขึ้น เนื่องจากการสรุปผลการคำนวณของบีอีเอ็มและกทพ. ต่างกัน ทั้งๆ ที่ใช้สูตรการคำนวณเหมือนกัน
กล่าวคือ หากสมมติว่าผลการคำนวณออกมาว่าจะต้องปรับค่าผ่านทาง 5.30 บาท บีอีเอ็มจะปัดขึ้นเป็น 10 บาท แต่กทพ.จะปัดลงเป็น 5 บาท ปรากฏว่าตั้งแต่มีการปรับค่าผ่านทางเมื่อปี 2541 เป็นต้นมา มีเพียงครั้งเดียวเท่านั้นที่ได้ข้อยุติแล้วคือเมื่อครั้งปี 2541 ส่วนครั้งที่เหลือคือปี 2546, 2551 และ 2556 ยังคงเป็นปัญหาคาราคาซังอยู่จนถึงปัจจุบันนี้ ผู้ใช้ทางด่วนส่วนมากคงไม่ทราบว่าค่าทางด่วนที่ตนจ่ายอยู่ทุกวันนี้เป็นราคาที่ถูกกว่าราคาที่บีอีเอ็มต้องการ
ด้วยเหตุนี้ บีอีเอ็มจึงร้องต่อคณะอนุญาโตตุลาการขอให้วินิจฉัยให้กทพ.ชำระเงินชดเชยรายได้ที่บีอีเอ็มควรจะได้รับหากมีการปรับค่าผ่านทางตามที่บีอีเอ็มร้องขอ ปรากฏว่าในกรณีของปี 2546 คณะอนุญาโตตุลาการได้วินิจฉัยให้กทพ.ชำระเงินชดเชยรวมทั้งดอกเบี้ยเป็นจำนวนกว่า 8,000 ล้านบาท ซึ่งต่อมาคณะกรรมการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (บอร์ดกทพ.) ก็ได้มีมติเห็นชอบตามคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ ซึ่งหากใช้การวินิจฉัยของคณะอนุญาโตตุลาการในกรณีการขอปรับค่าผ่านทางเป็นบรรทัดฐานสำหรับกรณีของปี 2551 และ 2556 ด้วยแล้ว จะทำให้กทพ.ต้องชำระเงินชดเชยให้บีอีเอ็มเป็นจำนวนประมาณ 30,000 ล้านบาท
เพื่อเป็นการไม่ให้กทพ.ต้องควักกระเป๋าจ่ายเงินก้อนโต จึงมีข่าวว่าบีอีเอ็มเสนอให้ต่อสัญญาสัมปทานออกไปอีก 9 ปี จากเดิมที่จะสิ้นสุดในปี 2563 เป็นปี 2572 แต่การต่อสัญญาให้บีอีเอ็มอีก 9 ปีนั้น หากคำนวณตามปริมาณรถบนทางด่วนที่จะเพิ่มขึ้น จะทำให้บีอีเอ็มได้รับเงินจากค่าทางด่วนมากกว่าค่าชดเชยที่กทพ.จะต้องชำระถึงประมาณ 20,000 ล้านบาท นั่นคือจะได้รับถึงประมาณ 50,000 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม มีความเคลื่อนไหวของสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (สร.กทพ.) ขอให้บอร์ดกทพ.ทบทวนมติที่ให้กทพ.ปฏิบัติตามคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ โดย สร.กทพ.ขอให้นำคดีพิพาทสู่ศาลปกครอง ดังนั้น เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2559 บอร์ดกทพ.จึงได้มีการประชุมเรื่องนี้เป็นการด่วน ปรากฏว่าได้ผลตามที่สร.กทพ.เรียกร้อง นั่นคือส่งคดีนี้ให้ศาลปกครองวินิจฉัย
ทั้งหมดนี้จึงต้องติดตามกันอย่างไม่กะพริบตาว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากศาลปกครองตัดสินให้กทพ.แพ้คดีนี้ กทพ.เลือกที่จะชำระเงินชดเชยหรือจะต่อสัญญาให้บีอีเอ็ม