จับเข่าคุยครั้งที่ 2 "No Drama" เสรีภาพกัญชา ควรอยู่ตรงไหน?
“..ไม่ขอพูดว่ากัญชาควรถูกกฎหมายหรือผิดกฎหมาย ทุกคนรู้กันดีอยู่แล้ว รัฐควรมีหน้าที่ควบคุม ไม่ใช่เอากฎหมายมาขีดเส้น เราสามารถป้องกันสิ่งเหล่านี้ได้ บอกไม่ได้ว่าคนใช้กัญชาเป็นคนดีหรือเป็นคนเลว และคุกไม่ใช่บ้านของคนเสพกัญชา..”
เมื่อวันที่ 30 ส.ค. 58 ที่ผ่านมา เว็บไซต์ประชามติ ร่วมมือกับสถาบันสิทธิมนุษยชนและสันติศึกษา โครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน(iLAW ) ศูนย์ข้อมูลและข่าวสืบสวนเพื่อสิทธิพลเมือง(TCIJ) และ www.ThaiNGO.org จัดเวทีเสวนาคุยแบบ No Drama เสรีภาพกัญชา ควรอยู่ตรงไหน? ครั้งที่ 2 ในหัวข้อ “กัญชา/ความเข้าใจ/ทัศนคติ/ความเป็นจริง” ที่ห้องเอนกประสงค์ ชั้น 1 หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร เวลา 15.00น. - 18.00น.
ภายในงานเสวนาดังกล่าว มีการเชิญนักวิชาการร่วมแสดงความคิดเห็น ได้แก่ นพ.อังกูร ภัทรากร ผู้อำนวยการสถาบันบำบัดและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดแห่งชาติบรมราชชนนี, นายกอบกูล จันทะวโร อดีตที่ปรึกษาด้านกฎหมาย สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด, อ.ประสาท มีแต้ม นักวิชาการอิสระ, นายวีรพันธ์ งามมี เลขาฯมูลนิธิโอโซน(Ozone),นักกิจกรรมอิสระ, ผศ.ภญ.ดร.นิยดา เกียรติยิ่งอังศุรี ผู้จัดการศูนย์วิชาการเฝ้าระวังและพัฒนาระบบยา จุฬาฯ และมี กรรณิการ์ กิจติเวชกุล ผู้ดำเนินรายการ ‘เช้าทันโลก’ วิทยุ FM 96.5 และคอลัมนิสต์นิตยสาร Way เป็นผู้ดำเนินรายการ
บรรยากาศภายในงานมีประชาชนจำนวนมากทั้งหญิงและชายเดินทางมาเพื่อร่วมงานดังกล่าว จนล้นออกจากห้องประชุม อาทิ เยาวชนวัยรุ่นหนุ่มสาว คนวัยทำงานและวัยกลางคน ขณะที่ บางคนถึงขั้นนั่งกับพื้น ทำให้ น.ส.กรรณิการ์ ผู้ดำเนินรายการบนเวที เอ่ยปากว่า “ไม่เคยเห็นงานที่ NGO จัดแล้วคนเยอะขนาดนี้มาก่อน”
การพูดคุยเวทีเสวนาเริ่มจาก นายวีรพันธ์ งามมี เลขาฯมูลนิธิโอโซนและนักกิจกรรมอิสระ ระบุว่า "สังคมไทยขาดคนมีความรู้ เราจะใช้วิทยาศาสตร์หรือไสยศาสตร์ในการแก้ปัญหา โดยตั้งคำถามว่า ทำไมมุมที่เป็นประโยชน์ถึงไม่มีคนพูดถึง และอยากให้ใช้กัญชาเป็นกรณีศึกษา เพื่อวิธีการจัดการยาเสพติดในประเทศที่ไม่มีประสิทธิภาพ อย่างสร้างสรรค์และยั่งยืน"
“ผมไม่ขอพูดว่ากัญชาควรถูกกฎหมายหรือผิดกฎหมาย ทุกคนรู้กันดีอยู่แล้ว รัฐควรมีหน้าที่ควบคุม ไม่ใช่เอากฎหมายมาขีดเส้น เราสามารถป้องกันสิ่งเหล่านี้ได้ บอกไม่ได้ว่าคนใช้กัญชาเป็นคนดีหรือเป็นคนเลว และคุกไม่ใช่บ้านของคนเสพกัญชา” นายวีรพันธ์ กล่าว
ขณะที่ นพ.อังกูร ภัทรากร ผอ.สถาบันบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดแห่งชาติบรมราชชนนี ให้ข้อมูลว่า ยาเสพติดตั้งแต่ประเภทที่ 1 (เฮโรอีน,ฝิ่น) ไม่ใช่ว่าไม่มีประโยชน์ อาทิ ในทางการแพทย์ มีการนำฝิ่นมาผลิตเป็นยารักษาอาการปวด หรือแม้แต่กัญชาและกระท่อมก็เคยนำมาผลิตเช่นกัน ปัจจุบันมีโครงการปลูกกัญชงทั่วโลก เพื่อนำมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ ตั้งแต่ครีมหน้าเด้ง จนถึงยารักษาโรค
“ประเด็น คือ ประโยชน์มันมีมาก แต่กลับไม่มีมาตรการนำไปใช้ประโยชน์ในเชิงรูปธรรม กฎหมายสร้างความชอบธรรมให้เกิดขึ้นกับสุราและบุหรี่ ถึงแม้ว่าจะเป็นยาเสพติดเหมือนกัน โดยจากการดูแลคนไข้ ลักษณะผู้เสพกัญชาไม่มีอาการติด เพียงจิตใจรู้สึกต้องการ หากภาครัฐมีความชัดเจนในการผลิตหรือขาย อย่าลืมประเด็นในการรักษาด้วย” ผอ.สถาบันรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดแห่งชาติ กล่าว
นพ.อังกูร ยังอ้างถึงสถิติผู้บำบัดยาเสพติดภายในสถานบำบัดธัญญารักษ์ ซึ่งระบุจำนวนผู้ติดยาเสพติดว่า 80% ของผู้ติดยาเสพติดทั้งหมดเป็นผู้ใช้ยาบ้า เฮโรอีน (ยาเสพติดประเภท 1) ขณะที่ ข้อมูลระบุว่า ผู้ใช้กัญชามีเพียง 5-10% เท่านั้น
ส่วนนายกอบกูล จันทะวโร อดีตที่ปรึกษากฎหมาย สำนักงาน ปปส. เผยว่า คนไทยมองในเชิงดราม่ามากกว่าความเป็นจริง อีกมุมที่ควรมอง คือ ประโยชน์ของมัน เพราะข้อมูลจาก UNODC ระบุว่า ประชากรทั่วโลกใช้กัญชามากที่สุดในโลก ขณะที่ ประเทศไทยมียาบ้าเป็นอันดับสูงที่สุด และยาไอซ์ตามมาเป็นอันดับ 2 โดยกัญชาอยู่ที่อันดับที่ 3 ขณะที่ คนที่ถูกจับในคดีกัญชา กลับไม่ใช่พ่อค้ารายใหญ่
“ต้องยอมรับความจริงว่า การใช้กัญชาไม่ได้เป็นอาชญากรรม คนใช้ไม่ได้เป็นอาชญากร จริงๆแล้ว หลายประเทศมีมาตรการควบคุม เช่น อุรุกวัย สหรัฐอเมริกา ฯลฯ เพราะเขาเห็นในเรื่องสุขอนามัย และสุขภาพเป็นสำคัญ สาธารณสุขต้องให้คำแนะนำที่ถูกต้อง มีเงื่อนไขในการปฏิบัติ เช่น ควบคุมการกำหนดปริมาณ ยืนยันว่า ความเสรีก็ต้องมีเงื่อนไขบ้าง” อดีตที่ปรึกษกฎหมาย ปปส. กล่าว
ขณะที่ ผศ.ภญ.ดร.นิยดา เกียรติยิ่งอังศุรี ผู้จัดการศูนย์วิชาการเฝ้าระวังและพัฒนาระบบยา จุฬาฯ เผยว่า ตนเองศึกษาเรื่องกระท่อมเยอะมาก สนใจในเชิงประวัติศาสตร์ เพราะคนในสมัยโบราณเขาก็ใช้เคี้ยวกินกัน ปปส. บอกว่า น่าจะผ่านกฎหมายได้แล้ว แต่ถ้าจะแก้ต้องแก้ที่ตัวกฎหมาย เพราะกระท่อมและกัญชาถูกเอ่ยถึงในกฎหมาย ซึ่งไม่สามารถแก้ได้เหมือนกฎหมายกระทรวง
ด้าน นายประสาท มีแต้ม นักวิชาการอิสระ อดีตอาจารย์มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ตั้งคำถามว่า หากถูกกฎหมายแล้ว จะมีคนติดกัญชามากขึ้นหรือไม่ โดยยกผลวิจัยของ NIS สหรัฐอเมริกา ซึ่งระบุว่า ไม่ว่าจะถูกกฎหมายหรือผิดกฎหมาย คนใช้กัญชาก็ไม่เพิ่มขึ้นหรือลดลง นอกจากนี้เผยว่า กัญชาสามารถหยุดโรคชักกะตุกในเด็กได้ และสามารถผลิตน้ำมันออกมาเป็นพลังงานทดแทนได้
“วงการราชการทุจริตคอร์รัปชั่น ขบวนการหนึ่งล้างสมองสองปล้นสิทธิเสรีภาพ ในการใช้กัญชารักษาตนเอง บิดเบือนสื่อตั้งแต่ปี พ.ศ.2477 มันเป็นหลอกลวงอย่างชั่วร้าย และเป็นช่องว่างทางวิชาการ แม้แต่ในประเทศสหรัฐอเมริกาเอง” นายประสาท ยืนยัน
ทั้งหมดนี้ คือ การจับเข่าคุยเสวนาเรื่อง “เสรีภาพกัญชาควรอยู่ตรงไหน?” ควรถูกกฎหมายหรือไม่? ขณะที่ หลายภาคส่วนบอกว่าเป็นยาเสพติดผิดกฎหมาย แต่กลุ่มคนหนึ่งกลับบอกว่า เป็นสิ่งที่ธรรมชาติสร้างมาเพื่อมวลมนุษย์ทั้งโลก