ถึงเวลาทบทวน...ก่อนถูกจัดอันดับ 'ไทย' เป็นชาติขับรถอันตรายสุดในโลก
ศาลไทยยังคงมองว่า คนเมาขับ เป็นเพียง “ความประมาท” ผิดกับตุลาการในต่างประเทศ ที่เป็นเรื่องใหญ่ ยิ่งถ้ามีคนตายหรือบาดเจ็บ โทษยิ่งหนักขึ้นไปอีก
ช่วงวันหยุดเสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมา ผมได้รับโพสต์จากเพื่อนในภาคีป้องกันอุบัติเหตุคุยกันสนั่น Facebook ว่ามีกรณีเด็กนักเรียนญี่ปุ่นถูกรถชนเสียชีวิต 1 ราย บาดเจ็บอีก 1 ราย ที่จังหวัดชิบะ ในประเทศญี่ปุ่น ที่ต้องตกใจอย่างมากอยู่ที่ คนขับรถและคนนั่งในรถก่อเหตุ เป็นคนไทย!
เวลาประมาณ 15.04 น. คุณ Phii Hoi-men โพสต์ภาพและข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Phii Hoi-men ระบุว่า สื่อต่างประเทศเสนอข่าวเด็กนักเรียนญี่ปุ่น 2 ราย ถูกรถชนจนเสียชีวิต 1 ราย และบาดเจ็บอีก 1 ราย และจากการตรวจสอบพบว่า ผู้ก่อเหตุขับรถชนเด็กนักเรียนญี่ปุ่น คือ คนไทยชาย-หญิง จํานวน 3 คน (อ้างอิงจาก http://hilight.kapook.com/view/106714)
คนที่อยู่ในจังหวัดชิบะ ประเทศญี่ปุ่น แถมงานนี้ ยังตรวจพบแอลกอฮอล์ในร่างกายทั้ง 3 คนอีกด้วย ซึ่งเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ ได้รับความสนใจจากชาวญี่ปุ่นเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากกฎหมายในประเทศญี่ปุ่นเข้มงวดเรื่องการเมาแล้วขับมาก จนถึงขั้นมีการวิพากษ์วิจารณ์เหตุการณ์ที่เกิดไปต่าง ๆ นานา
.. บางรายถึงกลับไล่ให้คนไทยที่ก่อเหตุกลับมาขับรถแบบนี้ที่บ้านตนเองที่ประเทศไทยแทน
ในโพสต์ที่ผมอ่าน ยังพูดว่า คนญี่ปุ่นจะมองคนต่างชาติยังไง โดยเฉพาะคนไทย ญี่ปุ่นเป็นชาติที่ลืมยาก รักมาก เกลียดมาก คนไทยในญี่ปุ่นหลายคนคงต้อง รับฟังคนญี่ปุ่นบ่นปนด่าเรื่องนี้กันไป แน่นอน
วงเฟซบุ๊ก ของคนทํางานป้องกันอุบัติเหตุ เช็กข่าวกันว่อนไม่แพ้กัน จนทราบว่า กฎหมายญี่ปุ่น เอาผิดทั้งคนนั่งคนขับเท่ากันครับข้อหาเมา
คนนั่งก็ผิด คุก 5 ปี ปรับ 5 แสนเยน (155,628 บาท) รวมไปถึง .. ร้านที่ขายเหล้าให้ ก็ คุก 3 ปี ห้าแสนเยน
กรณี Professional Negligence Resulting in Death" Traffic accidents are considered to be not intentional but negligent.. จำคุกสูงสุด 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 500,000 เยน (190,000บาท)
กรณี Dangerous Driving Resulting in Deaths and Injuries" (เริ่มใช้ตั้งแต่ 2001) เรียกกันว่า crime of intent .. จำคุกไม่เกิน 15 ปี (20 ปี ในกรณีที่มีการเสียชีวิต)
นิยามว่า "in a situation that normal driving was difficult"
• การขับขี่ที่ได้รับผลกระทบจากแอลกอฮอล์และยา
• การขับขี่ที่ไม่สามารถควบคุมได้ด้วยความเร็วสูง
• ไม่มีทักษะการขับขี่
• แซงอย่างน่ากลัว หรือขับรถจี้กดดันคันหน้า
• การขับรถฝ่าไฟแดง Red light running
เปรียบเทียบการปรับหรือการลงโทษคน “เมาแล้วขับ” ในประเทศไทยที่เพิ่งมีการปรับปรุงกฏหมายโดยเพิ่มโทษให้หนักขึ้น ตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ. 2522 (ฉบับที่ 7 พ.ศ.2550) ซึ่งกําหนดนิยามการเมาแล้วขับ คือ มีปริมาณแอลกอฮอล์เกินกว่า 50 มิลลิกรัม ในเลือด 100 มิลลิลิตร (หรือเรียกว่า 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์) และเพิ่มโทษเป็น
• เมาแล้วขับโทษจําคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับ 5,000-20,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ และอาจพักใบขับขี่ไม่น้อยกว่า 6 เดือน หรือเพิกถอนใบขับขี่ หรือให้คุมความประพฤติ หรือให้ทํางานบริการสังคม
• เมาแล้วขับ และทําให้ผู้อื่นบาดเจ็บหรือได้รับอันตรายโทษจําคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับ 20,000-40,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ และพักใบขับขี่ไม่น้อยกว่า 6 เดือน
• เมาแล้วขับ และทําให้ผู้อื่นได้รับอันตรายบาดเจ็บสาหัสโทษจําคุก 2–6 ปี ปรับ 40,000–100,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ และพักใบขับขี่ไม่น้อยกว่า 1 ปี
• เมาแล้วขับ และทําให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายจําคุก 3–10 ปี ปรับ 60,000–200,000 บาท และเพิกถอนใบขับขี่
แม้จะมีการเพิ่มโทษ .. แต่ในทางปฏิบัติแบบไทยๆ คนเมามักจะคิดว่า
1) ถึงจะดื่ม แต่ไม่เมา และสามารถควบคุมรถได้ (ร้อยละ 31 ของผู้ขับขี่ระบุไว้ / มูลนิธิไทยโรดส์ทำการสำรวจไว้)
2) คงไม่เจอด่าน เพราะนานๆ จะเห็นด่านซักครั้งหนึ่ง หรือ check ด่านใน facebook แล้วขับเลี่ยงได้
3) ถึงเจอด่าน ก็น่าจะต่อรองได้ หรือไม่ก็ใช้วิธีปฏิเสธไม่เป่า ยอมจ่ายกรณีฝ่าฝืน
4) ถึงส่งฟ้องศาล ก็ขอประกันตัว ถึงเวลาศาลนัด ก็ “สารภาพ” โทษก็เหลือแค่ ปรับกึ่งหนึ่ง แล้วส่งไปคุมประพฤติ
เวลาตำรวจส่งฟ้อง เพราะเป็นคดีศาลแขวง ต้องส่งภายใน 48 ชม. ก็มักจะไม่ได้ตรวจสอบประวัติเดิม เรียกว่า โดนจับเมาครั้งที่ 10 ก็โทษเท่าเดิม
ที่สำคัญอีกประการ ศาลไทยยังคงมองว่า คนเมาขับ เป็นเพียง “ความประมาท” ผิดกับตุลาการในต่างประเทศ ที่เป็นเรื่องใหญ่ (เป็นเรื่องเจตนากระทำผิด) ยิ่งถ้ามีคนตายหรือบาดเจ็บ โทษยิ่งหนักขึ้นไปอีก ..
ญี่ปุ่นมีการจัดการเรื่องนี้อย่างได้ผล เพราะเน้น “โทษหนัก บังคับเข้ม” (เก็บบัทสึ-ขะ”) ยอดผู้เสียชีวิตจากเมาแล้วขับ ลดลงโดยตลอด
ล่าสุดปี 2013 เหลือเพียง 238 ราย จากผู้เสียชีวิต 4,373 คน
ในขณะที่ คนไทยเสียชีวิตปีละ 14,000 (ข้อมูลใบมรณบัตร พ.ศ. 2555 หรือ ค.ศ.2012 มีผู้เสียชีวิต 14,059) ในจำนวนนี้ คาดประมาณว่าเกี่ยวข้องกับเมาแล้วขับ ร้อยละ 20-25 หรือประมาณ 2,800-3,500 คน/ปี ..
หรือเทียบได้กับ คนไทยตายจากเมาขับ มากกว่าญี่ปุ่น 10 เท่า แม้จะมีประชากรน้อยกว่า 2 เท่า (หรือมากกว่าญี่ปุ่น 20 เท่า ในจำนวนประชากร เท่าๆ กัน)
กรณีใหญ่เสียชื่อระดับชาติเช่นนี้ ทางหนึ่งเป็นเรื่องเศร้า อีกทางหนึ่งกลับเป็นโอกาสให้ผู้ที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายจราจรในบ้านเราหันมาทบทวน กับกฎหมายและการบังคับใช้ “เมาแล้วขับ” ให้มากขึ้น ได้แก่
• แก้ไข พ.ร.บ.จราจรทางบก 2522 กรณีปฏิเสธตรวจวัดแอลกอฮอล์ ให้สันนิษฐานว่าคนนั้นเมา
• สนับสนุนอุปกรณ์ตรวจวัดแอลกอฮอล์ให้เพียงพอ ทุกสถานีตำรวจ และ สตช. ควรมีแผนการตั้งด่านตรวจเมาให้ครอบคลุม เพื่อเพิ่มโอกาสตรวจพบคนเมาขับบนท้องถนน
• เร่งจัดทำประวัติ “คนเมาแล้วขับ” ให้สามารถสืบค้นได้ทันที และนำไปประกอบสำนวนคดี
ถึงเวลาแล้ว ที่คนไทย .. ต้องเรียกร้อง และไม่ยอมให้มีคนเมา มาขับรถบนท้องถนน
ทุกวันนี้ ประเทศไทยก็ติดอันดับ 2 ของโลก ที่มีอัตราคนตายจากอุบัติเหตุทางถนนมากที่สุดแต่ถ้าองค์การสหประชาชาติหรือองค์การอนามัยโลกหรือหน่วยงานระดับนานาชาติ ไปเพิ่มหัวข้อสํารวจว่า...คนชาติไหนขับรถอันตรายที่สุดในโลก...ประเทศไทยอาจไปขึ้นอันดับอยู่ระดับต้นๆ แน่
อย่าให้เป็นอย่างนั้นเลยครับ!