ธาม เชื้อสถาปนศิริ :"อย่าผลักสื่อและประชาชน!?"
"...คสช. ควรเปิดรับและใจกว้างต่อการรับฟังเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากประชาชนและภาคประชาสังคมด้วย อย่างน้อมรับและใจกว้างพอสมควร และเลือกคัดกรองเอาเฉพาะแต่ส่วนที่เป็นจริง ถูกต้อง ทำได้ และเข้าสมประโยชน์ในการปกป้องพิทักษ์ผลประโยชน์ประเทศชาติ.."
ด้วยประกาศ คสช. ฉบับที่ 97/2557 เรื่อง การให้ความร่วมมือต่อการปฏิบัติงานของคณะรักษาความสงบแห่งชาติและการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารต่อสาธารณะ นั้น มีส่วนที่กระทบสิทธิเสรีภาพของสื่อและประชาชนจริง และจะกลายมาเป็นประกาศที่ทำให้คสช. สูญเสียแนวร่วมสนับสนุนไปมากโดยเฉพาะจากประชาชนและสื่อ
โดยที่ ประกาศดังกล่าวเขียนว่า....
ข้อ 3 ผู้ประกอบกิจการและผู้ให้บริการด้านสื่อมวลชนทุกประเภททั้งที่เป็นของราชการและเอกชน ไม่ว่าจะเป็นสถานีวิทยุกระจายเสียง สถานีโทรทัศน์ภาคพื้นดิน สถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม เคเบิล โทรทัศน์ระบบดิจิตอล และโทรทัศน์อินเตอร์เน็ต หนังสือพิมพ์ วารสาร หรือสื่อสิ่งพิมพ์ต่างๆ รวมทั้งผู้บริการด้านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ทุกประเภท อันรวมถึงการสื่อสารทางสังคมสื่อออนไลน์ มีหน้าที่เผยแพร่ข้อมูลข่าวสารตามที่ได้รับแจ้งจากคณะรักษาความสงบแห่งชาติ
ทั้งนี้ ให้บุคคลดังกล่าวรวมทั้งบุคคลอื่นใดงดเว้นการนำเสนอข้อมูลข่าวสารในลักษณะ ดังต่อไปนี้
(1) ข้อความอันเป็นเท็จ หรือที่ส่อไปในทางหมิ่นประมาท หรือสร้างความเกลียดชังต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ องค์รัชทายาท และพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์
(2) ข่าวสารที่จะเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ รวมทั้งหมิ่นประมาทบุคคลอื่น
(3) การวิพากษ์ วิจารณ์การปฏิบัติงานของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เจ้าหน้าที่ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ และบุคคลเกี่ยวข้อง
(4) ข้อมูลเสียง ภาพ วีดิทัศน์ ความลับของการปฏิบัติงานของหน่วยราชการต่าง ๆ
(5) ข้อมูลข่าวสารที่ส่อให้เกิดความสับสน ยั่วยุ ปลุกปั่นให้เกิดความขัดแย้ง หรือสร้างให้เกิดคงวามแตกแยกใยนราชอาณาจักร
(6) การชักชวน ซ่องสุมให้มีการรวมกลุ่มก่อการอันเกิดการต่อต้านเจ้าหน้าที่และบุคคลที่เกี่ยวข้องของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ
(7) การขู่จะประทุษร้ายหรือทำร้ายบุคคล อันนำไปสู่ความตื่นตระหนก หวาดกลัวแก่ประชาชน
ผมคิดว่า ข้อเนื้อหาสาระในข้อ (1), (2), (4), (5), (6), (7) นั้น สื่อและเราๆ ประชาชนไม่ควรทำอยู่แล้ว เพราะว่ามีกฎหมายอื่นๆ กำกับดูแลควบคุมอยู่แล้ว เช่น กฎหมายอาญา มาตรา 112 หรือกฎหมายว่าด้วยการกระทำความผิดคอมพิวเตอร์ หรือ กฎหมายหมิ่นประมาท - อันนี้ไม่มีปัญหา
...
แต่ส่วนที่เป็นปัญหาจริงๆ คือ ข้อวรรค (3) ที่ว่า "การวิพากษ์ วิจารณ์การปฏิบัติงานของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เจ้าหน้าที่ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ และบุคคลเกี่ยวข้อง"
คสช. จะไม่ยอมรับการวิพากษ์วิจารณ์ โดยไม่ดูที่เจตนา และข้อทักท้องที่ขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริง หรือ เจตนาดีต่อประเทศ หรือ ไม่พิจารณาเลยละหรือครับว่า ที่มาของเสียงนั้น คือใคร ประชาชน? ผู้รู้? นักวิชาการ?
จริงๆ แล้ว ผมคิดว่า คสช. ควรเปิดรับและใจกว้างต่อการรับฟังเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากประชาชนและภาคประชาสังคมด้วย อย่างน้อมรับและใจกว้างพอสมควร และเลือกคัดกรองเอาเฉพาะแต่ส่วนที่เป็นจริง ถูกต้อง ทำได้ และเข้าสมประโยชน์ในการปกป้องพิทักษ์ผลประโยชน์ประเทศชาติ
ถ้าเป็นเช่นนี้แล้ว ก็น่าจะได้ส่วนร่วมจากประชาชน และคนที่รักชาติ หวังดีอยากช่วยเหลือคสช. ได้ไม่ยาก เพราะเสียงติเตียน วิพากษ์ วิจารณ์ อาจไม่ใช่เครื่องบ่อนทำลายเสียทั้งหมด
แต่เป็นการติเพื่อเตือน ติเพื่อก่อ ติเพื่อบอกให้ระวัง ติเพื่อเสนอความเห็นว่า ช่วยคิดคำนึงถึงเราด้วย
คสช. ต้องคิดว่า เอาประชาชนมาเป็นแนวร่วม เพราะในสังคมประชาธิปไตย ผมเชื่อว่า การร่วมคิด ร่วมสร้าง ร่วมทำ มีค่ามากกว่าคิดเองเพียงลำพัง
ส่วนตัวผมเชื่อในเจตนาดีของคสช. และของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และเชื่อในเจตนาดีของทหารในคณะทุกๆ ท่าน ที่จะปกป้อง พิทักษ์ รักษา ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และประชาชน
ถ้าจะปกป้องประชาชน ช่วยเอาประชาชนมาเป็นแนวร่วมคิดร่วมสร้างไม่ดีกว่าหรือ?
ผมเห็นว่า ส่วนที่สื่อต้องเรียกร้องจริงๆ คือ สิทธิเสรีภาพในการวิพากษ์วิจารณ์ จะต้องกระทำได้และกระทำภายใต้เจตนา 2 ข้อ คือ
(หนึ่ง) การวิพากษ์วิจารณ์คสช. ด้วยเจตนาบริสุทธิ์ เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประชาชน และผลประโยชน์สาธารณะ ต้องสามารถกระทำได้
(สอง) การวิพากษ์วิจารณ์ ที่ปรากฎข้อมูล เท็จจริง ในบริบทที่ผ่านการตรวจสอบแล้ว จากหน่วยงานอื่นๆ ของรัฐ ที่วางใจเชื่อถือได้ โดยเฉพาะตัวเลข ข้อเท็จจริงที่เป็นหลักฐานของทางราชการ ต้องสามารถกระทำได้
...เพราะว่า ข้อ (3) ในประกาศของ คสช. เขียนแค่ว่า "ห้ามวิพากษ์วิจารณ์" (ไม่ว่ากรณีใดๆ)
ซึ่งในทางปฏิบัติ หากตีความตรงตามที่เขียนมานี้จริงๆ สื่อจะทำหน้าที่ใดๆ ไม่ได้เลย
โดยเฉพาะในบทความ คอลัมน์ บทความเชิงความเห็น จากสื่อเอง หรือนักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญคนอื่นๆ ในสังคม
เท่ากับว่าเป็นการปิดกั้นข้อเสนอแนะ ข้อติติง ข้อตักเตือน
เช่นนี้ จะเป็นคสช. เองที่จะลำบากเพราะจะสร้างบรรยากาศแห่งการปิดกั้นสื่อ และบรรยากาศแห่งความหวาดกลัวในสังคมโดยไม่จำเป็น
หากคสช. คิดปิดกั้นการแสดงความเห็น การวิพากษ์วิจารณ์เอง จะเท่ากับกว่า คสช. เร่งสร้างกระแสต่อต้าน ทางด้านลบ ให้มากขึ้น และผู้คนที่เคยสนับสนุน ชนชั้นกลาง ก็จะเริ่มไม่เห็นด้วย และจะออกมาต่อต้าน คัดค้าน
ข้อเสนอแนะจากผมคือ:
(1) คสช. ควรชี้แจงว่า การวิพากษ์วิจารณ์คสช. นั้น สื่อมวลชน และประชาชน ยังสามารถกระทำได้ โดยบริสุทธิ์ใจ และมีพื้นฐานมาจากข้อเท็จจริงที่ไม่บิดเบือน รอบด้าน และมาจากข้อมูลที่น่าเชื่อถือ
(2) หากประชาชนต้องการวิพากษ์ ชี้แนะ การปฏิบัติหน้าที่ของคสช. ก็สามารถกระทำได้ ผ่านช่องทางที่คสช. เปิดรับฟังความเห็น และ คสช. ควรจัดให้มีพื้นที่รายการ ที่เสียงเหล่านี้ ได้ถูกนำเสนอยังสาธารณะ ต่อ คสช. ว่าความคิดเห็นวิพากษ์วิจารณ์นั้นๆ มีอะไรบ้าง
(3) สื่อมวลชน ควรระมัดระวังการแสดงความคิดเห็น ในลักษณะ การสร้างความแตกแยก ความเข้าใจผิด แต่มุ่งเน้นไปทำข่าวในเชิงสร้างสรรค์ ลดการเล่นเกม โจมตีทางการเมือง แต่เน้นการนำเสนอข่าว จากกลุ่มความคิดเห็นผู้เชี่ยวชาญทางสังคม วิชาการ โดยสื่อต้องพิสูจน์ข้อเท็จจริง และแยกแยะความคิดเห็นเหล่านั้นให้ดี ก่อนนำเสนอ
(4) กสทช. ควรทำความเข้าใจกับคสช. ว่า การใช้อำนาจเซ็นเซอร์สื่อ จะกระทำมิได้ แต่ควรใช้กลไก เสนอให้องค์กรวิชาชีพ สื่อ วิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ ทำความตกลง ร่วมกันในการกำกับดูแลกันเองทางวิชาชีพ จะดีกว่า
(5) องค์กรวิชาชีพสื่อ ควรตั้งหลัก และจุดยืนเรื่องสิทธิเสรีภาพสื่อให้ดี ที่ผ่านมา เป็นการปกป้องสิทธิเสรีภาพสื่อแต่ที่จะพูด จะเขียน แต่สังเกตได้ว่า ประชาชนไม่มาร่วมปกป้องสิทธิเสรีภาพสื่อด้วย ,
เพราะประชาชนคิดว่า สื่อเอาแต่เรียกร้องสิทธิเสรีภาพ แต่ขาดความรับผิดชอบ
ดังนั้น องค์กรวิชาชีพสื่อ จึงควรกำหนดแนวทางการสื่อสารทำความเข้าใจในแวดวงวิชาชีพสื่อด้วยกันว่า ทิศทาง แนวข่าว ในการตรวจสอบ วิพากษ์ วิจารณ์การปฏิบัติหน้าที่ของสื่อสมาชิก ต้องเคร่งครัดเป็นไปตามจริยธรรม ที่เขียนที่กำหนดเอาไว้
คสช. อย่าผลักไสเจตนาดี การติเพื่อก่อ การเตือนเพื่อห้าม หรือการวิพากษ์เพื่อตั้งคำถาม เพราะนั่นคือบทบาทหน้าที่ของประชาชนและสื่อที่ควรจะเป็นไปในแนวทางประชาธิปไตย
สื่อที่ดี ต้องทำห้าที่ตรวจสอบรัฐบาล ประชาชนที่ดีต้องเป็นพลเมือง
อย่าผลักสื่อและประชาชนไปยืนอยู่ฝั่งตรงกันข้ามเลย
เพราะการผลักดัน และออกกฎให้เกิดความเงียบ อาจให้ผลร้ายมากกว่าที่คิด!