ขุมทรัพย์นักการเมือง
เมื่อปลายเดือนที่ผ่านมา ได้รับเชิญให้ไปเสวนาเรื่อง ขุมทรัพย์พรรคการเมือง ที่สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย
ในการเสวนาผมยังยืนยันว่า ในการเลือกตั้งวันที่ 3 กรกฎาคม 2554 ไม่มีพรรคการเมืองหลักชูนโยบายการป้องกันและปราบปรามการทุจริตหรือคอร์รัปชั่นในการหาเสียงเลย เพียงแต่อ้างว่า มีการเขียนไว้ในนโยบาย (แบบซุกๆ) แต่นโยบายดังกล่าวก็ไม่เป็นรูปธรรมหรือแสดงให้เห็นเจตจำนงว่า เอาจริงเอาจังกับเรื่องนี้
ทั้งๆ ที่การคอร์รัปชั่นก่อให้เกิดความเสียหายทั้งทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างรุนแรง
ไม่ว่าพรรคการเมืองต่างๆ จะมีนโยบายลด แลก (คะแนนเสียง) แจก แถมมากแค่ไหน แต่การทุจริตจะทำให้ผลของนโยบายเหล่านี้ซึ่งใช้งบประมาณแผ่นดิน นอกจากจะไม่ถึงมือชาวบ้านแล้ว ยังเป็นช่องทางในการผันเงินเข้ากระเป๋าของนักการเมืองและพรรคพวกบริวารอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม เพื่อให้เห็นแหล่งทุนสำคัญของนักการเมืองชัดขึ้น จึงขอแบ่งขุมทรัพย์นักการเมืองออกเป็น 3 ประเภท ดังนี้
หนึ่ง งบประมาณแผ่นดินและงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจ แม้การทุจริตจากโครงการจัดซื้อจัดจ้างของรัฐและงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจจะเป็นการทุจริตที่เก่าแก่ที่สุด แต่ก็เป็นแหล่งทุนที่ใหญ่ที่สุดของนักการเมืองมาตลอดจนถึงปัจจุบัน
ในแต่ละปีงบประมาณแผ่นดินมีมูลค่ากว่า 2 ล้านล้านบาท ดังนั้น งบลงทุนเพียงปีละ 20% ก็เกือบ 5 แสนล้านบาท หากงบลงทุนเหล่านี้รั่วไหล 20% จะเป็นเงินกว่า 1 แสนล้าน ยังไม่นับรวมงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจอีกปีละหลายแสนล้านบาท
ที่น่าสนใจคือโครงการยกระดับราคาพืชผลซึ่งในแต่ละปีใช้เงินหลายหมื่นล้านบาท มีการแสวงหาผลประโยชน์ทุกขั้นตอนโดยเฉพาะโครงการจำนำราคาพืชผลเกษตรซึ่งพ่อค้าเป็นหัวคะแนนหรือเครือข่ายนักการเมืองได้รับผลประโยชน์เต็มๆ ตั้งแต่เริ่มรับจำนำ การรับฝากสินค้า การนำสินค้าไปหมุนเวียนหาประโยชน์ และการประมูลหรือซื้อสินค้าในสต๊อคของรัฐที่มีหลักฐานชัดเจนว่า นักการเมืองในรัฐบาลและคนใกล้ชิดรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ตั้งบริษัทเข้าประมูลเอง ทั้งข้าว และมันสำปะหลัง
แต่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ก็ไม่กล้าปลดรัฐมนตรีรายดังกล่าวพ้นจากตำแหน่ง
เมื่อเป็นขุมทรัพย์สำคัญ จึงไม่น่าแปลกอะไรที่นักการเมืองกระเหี้ยนกระหือรือในการนำเสนอและเร่งรีบผลักดันโครงการขนาดใหญ่มูลค่าหลายหมื่นหลายแสนล้านบาทโดยไม่มีการศึกษาโครงการอย่างรอบคอบ
สอง ตลาดทุน-ตลาดเงิน ตัวอย่างที่ดีที่สุดในการแสวงหาผลประโยชน์จากตลาดหุ้นหรือตลาดทุนคือ คำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในคดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มูลค่ากว่า 46,000 ล้านบาท ฐานร่ำรวยผิดปกติ ที่แม้จะมีคำโต้แย้งจากนักวิชาการด้านกฎหมายบางคนว่า พฤติการณ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณไม่ถึงขนาดหรือหลักฐานไม่เพียงพอที่จะยึดทรัพย์ได้
แต่ถ้าใครติดตามข้อมูลหลักฐานและพฤติกรรมของ พ.ต.ท.ทักษิณมาตลอดประกอบกับคำพิพากษาแล้วจะเห็นร่องรอยอย่างชัดเจนว่า มีการแสวงหาผลประโยชน์
จากบริษัทในตลาดหุ้นในรูปแบบต่างๆ ก่อนหน้านี้ ในช่วงราวปี 2536-2538 นักการเมืองกลุ่ม 16 ก็ร่วมกับนายราเกซ สักเสนา แสวงหาผลประโยชน์จากบริษัทตลาดหุ้นโดยใช้สินเชื่อของธนาคารกรุงเทพฯพาณิชย์การ (บีบีซี) จนทำให้บีบีซีเจ๊งและเสียหายนับแสนล้านบาท
นอกจากนั้นในช่วงที่ พ.ต.ท.ทักษิณเรืองอำนาจก็มีบางคนในครอบครัวชินวัตรเข้าไปกว้านซื้อหุ้นอยู่เสมอ รวมถึงกรณีการฉ้อโกงบริษัท ปิคนิคฯซึ่งเกี่ยวพันกับนักการเมืองในรัฐบาลทักษิณอีกด้วย
จึงไม่แปลกอะไรที่ในช่วงรัฐบาลของนายสมัคร สุนทรเวช นักการเมืองจึงพยายามเข้ายึดทั้งตลาดทุนและตลาดเงินโดยส่งคนเข้าไปเป็นกรรมการคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กรรมการตลาดหลักทรัพย์และกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย
แต่แผนการยึดธนาคารแห่งประเทศไทยล้มเหลวเพราะถูกเปิดโปงโดยสื่อมวลชน และมีการร้องเรียนต่อ ป.ป.ช.ทำให้นายสุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รัฐมนตรีคลังสมัยนั้นถูกดำเนินคดีซึ่งสำนวนอยู่ระหว่างการพิจารณาของอัยการ
สาม การผูกขาดสัมปทานรัฐ แน่นอนว่า ผลประโยชน์มหาศาลที่ได้จากสัมปทานรัฐที่ใหญ่ที่สุดคือสัมปทานโทรคมนาคมซึ่งส่งผลให้ครอบครัวชินวัตรร่ำรวยมหาศาล
เคยมีใครสำรวจบ้างมั้ยว่า ครอบครัวชินวัตรและญาติพี่น้องที่มีบริษัทในเครือเกือบร้อยบริษัท มีกี่บริษัทที่ไม่ได้ทำธุรกิจผูกขาดด้านโทรคมนาคมที่ประสบความสำเร็จ?
นอกจากนั้น ยังมีสัมปทานขนาดใหญ่อื่น เช่น รถไฟฟ้า ธุรกิจพลังงาน ที่แม้จะเป็นของรัฐวิสาหกิจ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า นักการเมืองเข้าไปแทรกแซงเพื่อหาผลประโยชน์ตลอดเวลา
ตราบใดที่ยังไม่สามารถทำให้กระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง การลงทุนในโครงการขนาดใหญ่เป็นไปอย่างเปิดเผยโปร่งใส และการแข่งขันของธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานเป็นไปอย่างเสรีและเป็นธรรมแล้ว
นักการเมืองก็ยังคงสามารถแสวงหาผลประโยชน์จากขุมทรัพย์เหล่านี้ได้อีกนาน